11 ธันวาคม 2567 ความคืบหน้ากรณี น.ส.ธัญญรส อายุ 37 ปี อดีตลูกจ้างฝ่ายทะเบียน อำเภอเมืองสมุทรสาคร ร้องเพจสายไหมต้องรอด ว่า ถูกกลั่นแกล้งให้ออกจากราชการ หลังไปขัดขวางแผนการของสาวใช้แสบรายหนึ่ง ที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่อำเภอ ปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับการเป็นลูกบุญธรรม เพื่อหวังฮุบเงินมรดกของเศรษฐีนีรายหนึ่งกว่า 500 ล้านบาท
เรื่องราวเกิดจาก มีสาวใช้คนหนึ่ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนอำเภอ ปลอมแปลงเอกสารราชการ และปลอมลายเซ็นของ น.ส.ธัญญรส เพื่อพาตัวเองไปเป็นบุตรบุญธรรมของเศรษฐีนีคนหนึ่ง เพื่อหวังฮุบมรดกกว่า 500 ล้าน กระทั่งเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการรับบุตรบุญธรรม ในลักษณะเศรษฐินีรับสาวใช้เป็นบุตรบุญธรรม และเตรียมยกมรดก 500 ล้านให้
ต่อมาครอบครัวเศรษฐินี ได้ร้องให้ตรวจสอบเอกสารการรับบุตรบุญธรรมดังกล่าว ว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อ น.ส.ธัญญรส เห็นข่าวนี้ จึงค้นหาเอกสาร เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบและพบว่า เอกสารการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมดังกล่าวเป็นเท็จ มีการปลอมลายเซ็นของ น.ส.ธัญญรส ลงชื่อเป็นพยาน ทั้งที่ความจริง มีหน้าที่แค่รับจดทะเบียนเท่านั้น ไม่สามารถไปลงชื่อในฐานะพยานได้ จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร เรื่องการลงลายมือชื่อเป็นเท็จ
ต่อมาต้นปี 2567 ศาลได้มีคำพิพากษา ให้เพิกถอนการจดรับบุตรบุญธรรมดังกล่าว ทำให้สาวใช้รายนี้ ไม่มีสิทธิรับมรดกกว่า 500 ล้านบาท จึงคิดว่าจบเรื่องแล้ว น.ส.ธัญญรส จึงกลับมาทำงานตามปกติ
ต่อมาปลายปี 2567 กลับถูกประเมินจากเพื่อนร่วมงานว่า ขาดจริยธรรมในการทำงาน จึงถูกบีบให้ออกจากงาน จึงเชื่อว่าการประเมินดังกล่าว เป็นผลมาจากที่ตนไปแจ้งความ ทำให้สาวใช้รายนี้ อดรับมรดกกว่า 500 ล้านบาท และอาจจะทำให้มีผู้ใหญ่บางคนเสียผลประโยชน์
ซึ่งวันนี้ (11 ธ.ค.) เพจสายไหมต้องรอด ได้พามา น.ส.ธัญญรส เข้าพบ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี เพื่อหาทางช่วยเหลือในข้อกฎหมาย เพื่อคืนความเป็นธรรม
โดย น.ส.ธัญญรส กล่าวว่า ตนอยากทราบผลการประเมินที่บอกว่า ขาดจรรยาบรรณในการทำงาน และขาดจริยธรรมกับเพื่อนร่วมงาน ยืนยันไม่ใช่เรื่องจริง คนประเมินที่เป็นหัวหน้าของตนอ้างว่า ตนและเพื่อน มีเรื่องร้องเรียน แต่ทำงานมา 10 ปี 9 เดือน ไม่เคยถูกร้องเรียนแต่อย่างใด เมื่อดูจากผลการประเมินแล้ว คิดว่า โดนกลั่นแกล้งให้ออกจากงานอย่างเเน่นอน สาเหตุมาจากเรื่องของคดี หลังจากนั้นได้ทำหนังสือถามเหตุผลของการถูกออกจากงาน กลับไม่มีความคืบหน้า
น.ส.ธัญญรส กล่าวว่า หลังถูกให้ออกจากงาน ตนตกงานมานาน 2 เดือน ชีวิตเผชิญความลำบาก ขาดรายได้ ไม่มีเงินเหลือ ต้องอาศัยเงินของสามีในการใช้ชีวิต ยืนยันว่าตนไม่ได้เซ็นเอกสารฉบับนี้ และไม่คุ้นเรื่องนี้อีกด้วย ตอนนี้ยังไม่ทราบว่า เรื่องนี้ผ่านอำเภอไปได้อย่างไร
โดยตอนนี้ทราบแล้วว่า ใครเป็นคนปลอมลายเซ็นของตน ซึ่งบุคคลนี้ก็ยังคงทำงานที่อำเภอตามปกติ แต่ตนที่เป็นผู้เสียหาย กลับถูกบีบให้ออกจากงาน รู้สึกงงและแปลกใจว่า มันเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร จึงส่งเรื่องไปที่ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบ
และหลังจากถูกบีบให้ออกจากงาน มีเบอร์ปริศนาได้ส่งข้อความมาหา โดยเสนอเงินให้ โดยไม่ระบุจำนวน เพื่อขอให้ตัวเธอกลับคำให้การว่า เป็นคนที่เซ็นเอกสารเอง และมีบุคคลระดับผู้บริหาร ได้พยายามเรียกไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว เพื่อกลับคำให้การ แต่ตัวเธอเองก็ยอมทำแบบนั้นไม่ได้
ยอมรับว่าตอนนี้รู้สึกสิ้นหวัง กับระบบราชการของไทย เหนื่อยกับเรื่องที่เผชิญอยู่ แต่เชื่อว่ายังคงมีข้าราชการน้ำดีอีกมากมาย ที่ตั้งใจทำงาน ตอนนี้อยากได้ความยุติธรรมคืน อยากได้งานที่เคยทำคืน
ด้าน นายณัฐวัฒน์ รัตนณวัฒนสกุล อายุ 36 ปี สามีของผู้เสียหาย บอกว่า ภรรยาเคยถูกดักหน้าห้องน้ำ ภายในอำเภอ สาวใช้ที่ชวดเงินมรดก 500 ล้านบาท ได้เข้ามาข่มขู่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนออกจากงาน
นอกจากนี้ยังมีปลัดอีกท่านหนึ่ง เรียกให้ไปคุยเพราะปลัดอยากได้ความช่วยเหลือ แต่พอไปคุย แล้วทางปลัดก็พยายามขอให้ภรรยากลับคำให้การ จึงบอกไปว่าพวกเราทำไม่ได้
เรื่องนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคนเก่า ได้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตั้งแต่ต้นปีนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า และตัวภรรยาเอกก็ยังถูกกลั่นแกล้งเรื่อยมา คนที่เป็นคู่กรณีเข้าเวรแค่ 2 วัน ตัวภรรยาเข้างานถึง 7 วัน ไม่เข้าใจว่า ทำไมหน่วยงาน จึงเอาคนที่มีข้อพิพาทกัน มาจัดเวรให้กัน
บางช่วงบางตอนชายคนนี้ถึงกับร้องไห้ บอกว่า ตัวเองเห็นภรรยาร้องไห้ทุกวัน มันหดหู่ใจเหลือเกิน มันทำให้ตัวเองต้องลุกขึ้นสู้แล้ว เพราะทนไม่ไหวแล้ว ปล่อยไว้ ต่อไปไม่ได้แล้ว ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ทำหนังสือไปให้ทุกหน่วยงานแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีใครตอบมากลับมา
ด้าน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับเรื่องแล้ว ทางหน่วยงานจะขอดูเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียด และจะให้ความรู้และแนวทางที่ถูกต้อง ในการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และจะอยู่เคียงข้างผู้เสียหายจนจบเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูสัญญาจ้างงานว่า มีข้อกำหนดอะไรบ้าง และผู้เสียหายมีสิทธิอะไรบ้าง และจะต่อสู้อย่างไรตามกฎหมาย เพื่อให้ตัวเองกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม
ส่วนที่ศาลตัดสินเรื่องลายมือชื่อว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว งานราชการไม่มีการเซ็นชื่อแทนใครได้ อย่าเซ็นชื่อแทนใครเด็ดขาด เพราะผิดกฎหมาย ซึ่งคนที่เซ็นชื่อแทน น.ส.ธัญญรส เข้าข่ายมีความผิด ผู้เสียหายสามารถดำเนินได้ตามกฎหมาย