กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายจับ ก่อนเข้าจับกุม "จ๊อบ-สามารถ เจนชัยจิตรวนิช" อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย และ "นางวิลาวัลย์" แม่ของ นายสามารถ ในข้อหา "ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน" คดี "ดิไอคอน" ก่อนฝากขังศาลอาญา ต่อมาศาลอนุญาตให้ประกันตัวเฉพาะแม่ ส่วน "นายสามารถ" ไม่ให้ประกันตัว เพราะหวันยุุ่งพยานหลักฐาน เนื่องจากเคยมีตำแหน่งทางการเมือง และใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ฯลฯ สุดท้ายส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.67
2 ธันวาคม 2567 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "เคนโด้" และ "อี้ แทนคุณ" นำหลักฐานเกี่ยวกับรถยนต์ "อัลพาร์ท สีดำ ทะเบียร ส-0671 กทม." ของกลางที่ ยึดได้จากบ้านของ "นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช" ผู้ต้องหาคดี พ.ร.บ.การฟอกเงิน ที่บ้านย่านพรานนก มาให้ดีเอสไอตรวจสอบว่ารถคันดังกล่าวใครเป็นผู้ครอบครองตัวจริง
โดย เคนโด้ บอกว่า ตนได้ตรวจสอบพบว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถประจำตำแหน่งของ บริษัทจำหน่ายซิมโทรศัพท์ ยี่ห้อหนึ่ง ที่มีประเด็นเรื่องการชักชวนคนมาลงทุนอ้างได้ผลตบแทนสูง และยังมีดารา นักการเมือง ไปทำการตลาดให้ จนตอนนี้มีผู้เสียหายออกมาร้องเรียน
แต่ประเด็นหลักคือ รถดังกล่าวทางดีเอสไอบอกว่า เป็นรถของนายสามารถซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่ตนไปตรวจสอบมา ตนจึงอยากให้ดีเอสไอ ตรวจสอบให้ลึก ว่านายสามารถไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่
และต้องการให้บริษัทดังกล่าวออกมาชี้แจง ว่ารถเป็นของใคร เหตุใดนายสามารถถึงนำไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง หรือนายสามารถไปมีตำแหน่งอะไรใรบริษัทนี้ รวมถึงรถคันอื่นของนายสามารถอีก 4 คัน ว่ามีความเกี่ยวข้องอีกหรือไม่
ซึ่งตนไม่ได้บอกว่า บริษัทดังกล่าวผิด แต่แค่อยากให้ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน เพราะ มีพฤติกรรมให้คนมาระดมทุน จึงตั้งข้อสังเกตุว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของนายสามารถหรือไม่ เพราะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทนี้ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย
นอกจากนี้ นายเคนโด้ และ นายอี้ แทนคุณ ยังพา "นายหน่อง (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ทางตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจพบเส้นเงินโอนเงินเข้าบัญชีแม่นายสามารถ และถูกเรียกมาสอบปากคำไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
โดย นายหน่อง บอกว่า รู้จักกับนายสามารถมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 แต่เมื่อเดือนเมษายน ปี 2566 เป็นช่วงที่นายสามารถ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทักมาชวนไปทำบุญวันเกิดนายสามารถ จนตึงโอนเงินร่วมทำบุญไป 10,000 บาท
จากนั้นเดือนถัดมา นายสามารถได้ส่งรูปโบว์ชัวร์ธุกิจขายปุ๋ยของตัวเองมา โดยอ้างว่ามีคนมาร้องเรียนกับนายสามารถ ว่า นายหน่องนำสารปรับปรุงดินมาทำเป็นปุ๋ยหลอกขายประชาชน ซึ่งในหนองยืนยันกับนายสามารถว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น
แต่นายสามารถ ยังพูดและขอค่าดูแลเดือนละ 50,000 บาท แต่ตนขอต่อรองเหลือ 30,000 บาท และยอมจ่ายไป เพราะรู้สึกกลัวบารมี
เนื่องจาก นายสามารถส่งรูปไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ส่งลิ้งค์ข่าวของตัวเอง มาสร้างอำนาจบารมี จนตนกลัวบารมีจึงยอมโอนให้ไป ตั้งแต่เดือน ก.ค.2566 จนถึง ก.ค.2567 รวมถึงมีการให้ตนทำบุญร่วมเป็นประจำ
ที่ผ่านมาตนคุยแชทกับนายสามารถมาโดยตลอด และบัญชีที่โอนไปคือบัญชี ของนางวิลาวัลย์ แม่ของนายสามารถ
โดยหลักฐานที่ได้มอบให้กับผู้สื่อข่าว คือ แชทที่ได้พูดคุยกับทางนายสามารถ ซึ่งในแชทจะเห็นเลยว่าตอนแรกนายสามารถ ได้มีการเรียกเงินก่อนจำนวน 50,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าที่ปรึกษาก่อนออกตลาด พร้อมจะให้คำแนะนำด้วย แต่ทางผู้เสียหายก็ได้ต่อรองเหลือ 20,000 บาท โดยให้เหตุผลว่าโครงการเพิ่งเริ่มได้ไม่นานหากดีขึ้นค่อยเพิ่มทีหลัง แต่นายสามารถ ก็ตอบกลับว่า 30,000 บาท พร้อมให้เหตุผลว่าเรทนี้เป็นเรทที่ต่ำที่สุดแล้ว ก่อนจะมีการตกลงกันในเรท 30,000 บาท
จากนั้นก็ได้มีการเริ่มโอนเงินให้ในวันที่ 1 ก.ค.2566 โดยบัญชีที่รับโอนก็คือชื่อของนางวิลาวัลย์ ซึ่งก็คือแม่ของนายสามารถ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีการโอนเงินจำนวน 30,000 บาท ในทุกๆวันที่ 1 ของเดือน จนถึงเดือน กรกฎาคมปี 2567 ซึ่งวันที่โอนอาจจะมีเลทบ้างตามสภาพคล่อง เชื่อว่าเงินในบัญชีแม่นายสามารถที่มีเงินหมุนเวียนจำนวน 100 ล้าน จะเป็นเงินของตนด้วยส่วนหนึ่งด้วย จึงมาร้องดีเอสไอ เพื่อขอเงินเยียวยาผู้เสียหาย
ขณะที่ นายอี้ แทนคุณ ยังบอกเสริมอีกว่า พฤติกรรมของนายสามารถมีการไปแอบอ้างเทวดา เพื่อไปเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยแบ่งพฤติกรรมเป็น 3 ลักษณะคือ1.อ้างมีการผู้ใหญ่ มีแบคดี มีเทวดาคุ้มครอง
2.จ่ายส่วยเซ่นเทวดา
3.มักจะแสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่ามีคนมาร้องเรียนให้ช่วยเหลือ เมื่อได้ข้อมูลจากเสียหายก็จะไปคุยกับบุคคลอื่น เพื่อมาตบทรัพย์ตนมองว่ามันสอดคล้องกับเงินที่คุณแม่พูดว่าเป็นเงินทำบุญที่โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถที่อ้างว่าเป็นเงินทำบุญ
ดูคลิป