29 พฤศจิกายน 2567 ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ที่ นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 42 ปี ภรรยาของ ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 2 คดีร่วมกันฉ้อโกงและฟอกเงิน ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 500,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราว นางปทิตตา ไปเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยศาลได้เบิกตัวนางปทิตตาจาก ทัณฑสถานหญิงกลาง มาเบิกความเป็นพยาน 1 ปาก ในขณะที่พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ผู้คัดค้าน เข้าเบิกความ 1 ปาก
ศาลเริ่มไต่สวนพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ระบุว่า พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว นางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 ตามคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 ระบุเหตุผล 8 ข้อ คดีนี้มี น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหาย เป็นผู้คัดค้านด้วย
จากการสืบสวนพบว่าเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 67 นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ไปพบพยานเป็นอดีตคนขับรถของผู้ต้องหาที่ 1 นัดพบกันเพื่อขอให้ลบการพูดคุยกันผ่านไลน์ ที่พยานได้ติดต่อกับตัวผู้ต้องหาที่ 1 ในขณะที่ผู้ต้องหาที่ 2 ได้สั่งห้ามไม่ให้พยานไปติดต่อกับทางผู้เสียหาย พนักงานสอบสวนเห็นว่าเป็นการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่หลังจากถูกจับกุมยังไม่พบพฤติการณ์การยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานขึ้นอีก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังต้องทำการสอบสวนพยานแวดล้อมเพิ่มเติม ในส่วนของตัวผู้เสียหายได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วขณะนี้ผู้เสียหายเดินทางกลับไปที่ประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้จะครบฝากขังครั้งที่ 3 ไม่แน่ว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จหรือไม่ ถึงขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม จากการสืบสวนเบื้องต้นยังพบว่า ผู้ต้องหาที่ 1 นำเงินจำนวน 18 ล้าน มาทำการตกแต่งบ้านพักของผู้ต้องหาที่ 2
พยานผู้คัดค้าน ตอบคำถามทนายผู้ต้องหาที่ 2 ถามค้านว่า พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างการสอบสวนเรื่องเงินที่ผู้ต้องหาที่ 1 นำไปชำระค่าซื้อบ้านและที่ดินของผู้ต้องหาที่ 2 ว่า ผู้ต้องหาที่ 2 มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ส่วนเรื่องเงินตกแต่งบ้าน 18 ล้านบาท ที่ผู้ต้องหาที่ 1 นำมาตกแต่งบ้านยังอยู่ระหว่างการสอบสวนเช่นกันว่า ผู้ต้องหาที่ 2 มีส่วนรู้เห็นหรือไม่
ต่อมานางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 เบิกความเป็นพยานว่า ตนพักอาศัยอยู่ที่บ้าน ในพื้นที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากับผู้ต้องหาที่ 1 มากว่า 10 ปี โดยมีบ้านพักอาศัยอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาครอีก 2 หลัง เคยเปิดเป็นสำนักงานกฎหมายให้กับผู้ต้องหาที่ 1 เป็นที่แรก โดยบ้านทั้งสองหลังเป็นชื่อของตน ตนมีหนังสือเดินทางเล่มเดียวและไม่มีที่อยู่ยังต่างประเทศ ป่วยเป็นโรคประจำตัวได้แก่ โรคแพนิค และไมเกรน โดยระหว่างเบิกความนางปทิตตาได้ร่ำไห้ เมื่อเบิกความถึงลูก ที่ไม่ได้เจอหน้าตั้งแต่ถูกจับกุม โดยผู้ต้องหาที่ 2 พร้อมเพิ่มหลักทรัพย์เป็น 1 ล้านบาทเท่ากับหลักทรัพย์ที่ น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว (ขอสงวนนามสกุล) พี่สาว ที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ และพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนด
ภายหลังการเบิกความเสร็จสิ้น ศาลนัดฟังคำสั่งว่า จะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวหรือไม่ ในเวลา 14.00 น. วันนี้
ต่อมาในช่วงบ่าย ภายหลังศาลนัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ที่ นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของนางปทิตตา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ศาลยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ส่วนประเด็นที่ศาลยกคำร้อง ศาลมองว่าการสืบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จึงได้ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งทางศาลไม่ได้ระบุประเด็นที่ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว แต่จะต้องมีการสืบสวนขยายผลในเรื่องของเงินจาก 39 ล้านที่นำไปใช้เกี่ยวกับบ้าน ศาลจึงมองว่าควรจะสอบสวนในส่วนนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
เมื่อถามว่าการฝากขังนางปทิตตา จะสามารถฝากขังได้กี่ครั้ง
นายอาคม กล่าวว่า ในส่วนความผิดของนางปทิตตาสามารถฝากขังได้เต็มที่ 7 ครั้ง 84 วัน ส่วนจะมีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในการฝากขังครั้งที่ 3 อีกหรือไม่นั้น ทางตนอาจจะยังไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากไม่ได้มีการระบุว่าการยื่นขอปล่อยชั่วคราวจะต้องยื่นตอนไหน สามารถมายื่นได้ทุกวัน แต่ทางตนเห็นคำสั่งศาลออกมาในรูปแบบนี้ จึงอยากให้การสืบสวนพยานหลักฐานมีความคืบหน้าไปมากกว่าเดิมเสียก่อน
เมื่อถามว่า การทำงานของตนจะสิ้นสุดในส่วนไหน หรือจนกว่านางปทิตตาจะได้ประกันตัว นายอาคม กล่าวว่า การทำงานของตนจะสิ้นสุดภายในชั้นสอบสวนแน่นอนจะไม่เกินไปกว่านี้อีก ส่วนประเด็นที่จะทำหน้าที่จนกว่านางปทิตตาจะได้รับการประกันตัวหรือไม่นั้น ตรงส่วนนี้ตอบยาก เพราะถ้าฝากขังครบ 84 วัน นางปทิตตาอาจจะยังไม่ได้รับการประกันตัวก็ได้ เพราะตนทำหน้าที่แค่ชั้นสอบสวนเพียงอย่างเดียว