27 พฤศจิกายน 2567 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายชัชนัย ปานเพชร ในฐานะผู้เสียหาย และ เครือข่ายตัวแทนผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือ ต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ และ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อ ร้องทุกข์ กล่าวโทษ และ ดำเนินการสืบสวน สอบสวนคณะกรรมการ "ผู้บริหารบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)" และ "กลุ่มบุคคลที่ร่วมกันกระทำความผิด" ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่
โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกกรม เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
นายชัชนัย ปานเพชร เปิดเผยว่า ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)ได้พบเห็นการบริหารงานที่ไม่ชอบมาพากลของกรรมการ และผู้บริหารของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)
ในการดำเนินโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) และอาจมีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทำให้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงมาร้องหน่วยงานทั้งสองเพื่อ กล่าวโทษนำผู้ทำความผิดทั้งทางแพ่งและอาญามาลงโทษ โดยได้โปรดดำเนินการสืบสวน สอบสวน ตามอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
จากกรณีที่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้เข้าลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ในเดือนสิงหาคมปี 2561 มีมูลค่าโครงการประมาณ 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ159,225 ล้านบาทไทย ประมาณการดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างขณะนั้นอยู่ที่ 151 ล้านเหรียญ
หรือประมาณ 4,983ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงและยังเพื่อความยืดหยุ่นในการรับน้ำมันดิบ
ทำให้โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์สามารถเพิ่มสัดส่วนการกลั่นน้ำมัน (Heavy Crude) ได้มากขึ้นร้อยล ะ40-50 โดยการเปลี่ยนน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล และได้มีการเปิดประมูลประกวดราคาผู้รับจ้างเหมาออกแบบวิศวกรรม
การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) ของโครงการ CFP แต่จนถึงปัจจุบันไม่สามารถส่งมอบงานได้ภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาและไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้อีกต่อไปเพราะติดปัญหาและอุปสรรคอื่นๆอีก
ผลการประกวดราคา ปรากฏว่า บริษัท Petrofac International (UAE) LLC, Samsung Engineering Co., Ltd., และ Saipem S.P.A. ได้รับการคัดเลือกและได้ทำสัญญาจ้าง EPC ดังกล่าวกับไทยออยล์ และได้เริ่มดำเนินการโตรงการเรื่อยมา กระทั่งในปัจจุบัน ปรากฎว่ากลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วงจาก UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem จำนวน 28 บริษัท ตัดสินใจระงับการดำเนินงานก่อสร้าง
เนื่องจากยังไม่ได้รับชำระค่าตอบแทนตามสัญญา นานถึง 8 เดือนเป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาท จนเป็นเหตุทำให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายตามที่ปรากฏ
ดังนั้นในฐานะผู้ถือหุ้น ของบริษัท ไทยออยล์ฯ ได้ติดตามข่าวและตรวจสอบข้อมูล พบว่า โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนถึง 4, 825ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับใช้ขบวนการผลิตหรือเทคโนโลยี LC-Max
ซึ่งเป็นเจ้าแรกของโลก ทำให้ไม่มีการศึกษาและประเมินผลก่อนดำเนินโครงการ ต้นทุนในการกลั่นน้ำมันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ถึงความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมได้ เนื่องจากยังไม่เคยมีโรงกลั่นใดในโลกใช้มาก่อนในรูปแบบเดียวกัน ณ วันที่ตัดสินใจพิจารณาอนุมัติโครงการ จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงจากโรงกลั่นอื่นๆ
ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นโครงการที่ไม่ควรเสี่ยงต่อการลงทุน เพราะใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ ไม่มีผลการศึกษาและผลประกอบในเชิงพาณิชย์มาเป็นเครื่องยืนยันความเป็นไปได้ของโครงการอย่างแน่นอน ต้องถือว่าเป็นความผิดชัดเจนของกรรมการ และผู้บริหารในการตัดสินใจผิด ลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการนี้โดยก่อนตัดสินใจลงทุนควรจะศึกษาผลสำเร็จของโครงการที่ลงทุนให้ชัดเจนรอบคอบเสียก่อน
และจนถึงปัจจุบันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าโครงการล้มเหลว ยากที่จะดำเนินการต่อให้สำเร็จ และถ้าฝืนดำเนินการต่ออาจต้องใส่เม็ดเงินลงทุนมากขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งตัวเลขอาจแตะถึง 300,000 ล้านบาทและไม่สามารถรับประกันความสำเร็จของโครงการได้เลยและคงไม่มีสถาบันการเงินใดปล่อยเงินกู้เพิ่มเติมให้อย่างแน่นอน ซึ่งถึงขนาดทำให้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ล้มละลายได้เลย
นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้รับจ้างเหมาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) ของโครงการ ก็ไม่ได้มาตรฐาน มีทุนจดทะเบียนที่ต่ำ ไม่เหมาะสมกับมูลค่าโครงการ
ไม่มีสำนักงานเป็นหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีไม่สามารถบังคับคดีได้ ซึ่งเป็นการบริหารงานของกรรมการและผู้บริหารงานของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)ที่ล้มเหลวมากในการดำเนินกิจการตามปกติธุระและเสียเปรียบผู้รับเหมาอย่างมาก
การที่บอร์ดบริหารหรือคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการ โดยไม่ศึกษาในทุกมิติอย่างละเอียด ถึงผลกระทบของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัย ดังต่อไปนี้ให้เหมาะสมกับมูลค่าโครงการ คือ
1.ผลกระทบจากความเป็นไปได้ที่ เทคโนโลยีที่นำมาใช้จะไม่สามารถดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นโรงกลั่นแรกของโลกที่มีการนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ในระดับเชิงพาณิชย์
2.ผลกระทบจากการที่ว่าจ้างผู้รับเหมาหลักซึ่งไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในประเทศไทยจะไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสำเร็จลุล่วงตลอดโครงการ ซึ่งเกิดจากวิธีการคัดเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)
โดยการแยกกลุ่ม ผู้เข้าร่วม ประมูลโครงการนี้ เป็น 2 กลุ่ม หลัก คือ กลุ่ม A และ กลุ่ม B โดย บริษัท S Saipem และ บริษัท Petrofac อยู่ในกลุ่ม ผู้รับเหมาหลัก กลุ่ม A และ บริษัท Samsung อยู่ในกลุ่ม ผู้รับเหมา กลุ่ม B แต่ ต่อมาเมื่อ ได้รับสัญญาโครงการ ปรากฎว่า บริษัท Saipem และ บริษัท Petrofac มีปัญหาทางด้านการเงิน ทำให้เหลือเพียงบริษัท Samsung เท่านั้นที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้
จากการที่บอร์ดบริหารหรือคณะกรรมการบริษัทฯขาดวิสัยทัศน์และความรอบคอบในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นทุกมิติ จนเป็นเหตุทำให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายจนอาจจะล้มละลาย รวมทั้งผู้รับเหมาช่วงที่ได้รับผลกระทบจากกระบบคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก ที่ไม่ได้มาตรฐาน
ทำให้ผู้รับเหมาช่วงไม่ได้รับชำระค่าตอบแทนตามสัญญาจากบริษัทผู้รับเหมาหลักที่ถูกคัดเลือกมา ทั้งที่บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านั้นได้รับเงินจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)ไปแล้ว เป็นเหตุทำให้ผู้รับเหมาช่วงตัดสินใจระงับการดำเนินงานก่อสร้าง
โครงการจึงไม่สามารถดำเนินต่อได้ ทำให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากโครงการที่มีมูลค่าเกือบ 170,000 ล้านบาทไม่สามารถสร้างเสร็จได้ตามกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และยากต่อการเยียวยาและแก้ไขได้ในภายหลัง
การอนุมัติให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวถือว่า เป็นการที่บอร์ดบริหารหรือคณะกรรมการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ขาดความระมัดระวัง และไม่ดูแลปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีมากกว่า 39,000 ราย จนทำให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นรายย่อย อาจได้รับความเสียหายมหาศาล ซึ่งจะเป็นความเสียหายวงกว้างกระทบต่อ ความน่าเชื่อถือของบริษัท อันอาจเป็นเหตุสำคัญถึงบริษัทล้มละลายได้ในเวลาอันรวดเร็วจากยอดหนี้กู้ยืมสถาบันการเงินมากกว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีผลต่อความน่าเชื่อถือต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย การกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าข่ายการรกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 89/7 , มาตรา 89/10 , มาตรา281/2 , มาตรา307 , มาตรา 311 , มาตรา 312 และมาตรา 313
ดังนั้น จึงมาร้องเรียนต่อ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้โปรดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ สืบสวน , สอบสวน คณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)
การกระทำความผิดทางอาญาตามที่ได้กล่าวหา ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 , และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อนำผู้กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็น ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และผู้ที่ช่วยเหลือปกปิดข้อเท็จจริงในการกระทำความผิด มาลงโทษตามกฎหมายต่อไปด้วย