วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ช่วงเช้า นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ "บอสพอล" และ เหล่าบอส "ดิไอคอนกรุ๊ป" เดินทางเข้าเยี่ยม "บอสพอล" ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
โดยทนายวิฑูรย์ บอกก่อนเข้าเยี่ยมว่า วันนี้มีทีมทนายได้นำหนังสือมอบอำนาจเข้าไปให้กับ "บอสพอล" เซ็นมอบอำนาจในการดำเนินคดีกับ นางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ "เจ๊พัช" และ "ฟิล์ม" รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ปมคลิปเสียงเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท แลกกับการพาไปออกรายการดัง จากนั้นในช่วงเย็นวันนี้ จะเข้าแจ้งความที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยจะแจ้งในนามนิติบุคคล คือ "ดิไอคอนกรุ๊ป"
ส่วนข้อหา จะต้องหารือกับพนักงานสอบสวนว่า จะเป็น "พยายามกรรโชกทรัพย์" หรือ "พยายามฉ้อโกง" แต่ทีมทนายความมองว่า ข้อหา "พยายามฉ้อโกง" ความผิดชัดเจนกว่า แต่ตำรวจมองว่าเนื้อหาโดยละเอียดจากคลิปเสียง 29 นาที ที่มีพฤติกรรมในคลิปมีการพยายามช่วย และจะให้โอนเงินเพื่อไปออกรายการดัง ทั้งมีการข่มขู่ ถ้าไม่จ่ายเงินก็จะมีปัญหา ส่วนนี้ตำรวจมองว่าน่าจะเป็นข้อหา "พยายามกรรโชกทรัพย์"
ส่วนคดีหมิ่นประมาท ที่ "หนุ่ม กรรชัย" และ "รัฐมนตรีจิราพร สินธุไพร" หรือ "รัฐมนตรีน้ำ" ได้แจ้งความไว้ ทาง "ดิไอคอน" ก็จะเป็นพยานในคดีให้ด้วย แม้จะเป็นคดีคนละชุดกัน โดยเฉพาะคดีของรัฐมนตรี เพราะคดีนั้นหลักฐานมาจากไฟล์เสียงระยะเวลา 6 ชั่วโมง ที่ทาง "ดิไอคอน" นำไปส่งมอบไว้เป็นหลักฐานก่อนหน้านี้ และถูกตัดออกมานำเสนอบางส่วน จนเป็นที่มาให้ รัฐมนตรีเข้าแจ้งความ
นอกจากนี้ จะเข้าไปพูดคุยกับ "บอสพอล" และบอสชายคนอื่นๆ รวม 11คน กรณีที่ ดีเอสไอ จะเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ด้วย ทั้งนี้ หากจะมีการสอบปากคำในข้อหา พ.ร.ก.แชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ ที่ดีเอสเข้ามาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมไปก่อนหน้านี้ ทาง "ดิไอคอน" ก็ยินดีให้การเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้ ได้ขอทำคำให้การเป็นหนังสือภายใน 15วันไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทนายวิฑูรย์ ยังบอกอีกว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา ทนายความได้ยื่นประกันตัว "บอสวิน" โดยเป็นการแนบใบรับรองแพทย์ และยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการขอประกันตัว เพราะตัว "บอสวิน" ป่วยเป็นมะเร็งระยะ 3 มีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก และต้องรับการดูแลจากแพทย์ แต่ปรากฏว่าหลังจากนำคำร้องไปพิจารณา ศาลก็มีคำสั่งยกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยไม่ถามว่าใบรองแพทย์เป็นมาอย่างไร โดยให้เหตุผลเหมือนกับ 3 บอสดาราว่า มีผู้เสียหายและความเสียหายจำนวนมาก เกรงว่าจะหลบหนี และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับมีการค้านประกันจากผู้เสียหายและพนักงานสอบสวน
“หลังจากนี้ ก็เลิกคิดไปได้เลยที่จะยื่นประกันตัวแล้ว เพราะขนาดเป็นมะเร็งยังไม่ได้ และยังไม่มีการไต่สวน จึงมองว่าไม่ค่อยเป็นธรรม หากศาลมีการไต่สวนสักนิดนึงได้คุยกันก็น่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่เป็นไรค่อยว่ากันใหม่” ทนายวิฑูรย์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่า บอสทั้ง 18 คน ไม่ได้ขวัญเสีย เพราะตอนนี้สามารถปรับตัวได้แล้ว และแต่ละคนไม่คิดว่าจะได้ประกันอยู่แล้ว แต่เพียงแค่อยากให้เพื่อนที่เป็นคนป่วยหนัก ๆ ออกไปก่อน เพราะตนเองมีความเป็นห่วงต่อชีวิต และสุขภาพของ "บอสวิน" พอสมควร หลังจากนี้จะรอความเห็นจากแพทย์ราชทัณฑ์ และจะยื่นประกันตัว "บอสวิน" อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนบอสคนอื่น ๆ นอกจาก "บอสวิน" น่าจะรอจนครบ 7 ผลัดก่อนที่จะส่งให้อัยการพิจารณาสำนวนแล้วจะยื่นประกันตัวในขั้นตอนนั้น แต่หาก ดีเอสไอ ไม่ค้านประกันตัวในระยะเวลาการฝากขังช่วงท้าย ๆ แล้ว ก็จะพิจารณายื่นเลยเช่นกัน ทั้งนี้ ยอมรับว่า มีแนวคิดที่อยากจะขอให้กรมราขทัณฑ์ นำ "บอสวิน" ไปคุมขังที่โรงพยาบาลด้านนอกแทนด้วย เพราะทุกวันนี้ "บอสวิน" อยู่แดน 1 และมีออกมาหาหมอบ้าง เพราะมีใบรับรองแพทย์ โดยอาการขณะนี้ เกล็ดเลือดต่ำ แต่รายละเอียดสุขภาพไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็เพิ่งส่งไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์
ส่วนกรณีที่นางสาวกฤษอนงค์ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ทนายวิฑูรย์ บอกว่า ทั้ง 18 บอส โดยเฉพาะ "บอสวิน" และ "บอสปัน" ทราบข่าวแล้ว โดย "บอสปัน" ไม่มีท่าทีอะไร เพียงแต่ว่ารับทราบข้อมูลเท่านั้น แต่เชื่อว่าทางกรมราชทัณฑ์ก็จะดำเนินการแยก นางสาวกฤษอนงค์ ไปอยู่คนละแดนกับบอสต่างๆ แต่เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว ก็อาจจะต้องเจอกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า "บอสปัน" สะใจหรือไม่ ที่นางสาวกฤษอนงค์ เข้าเรือนจำ ทนายวิฑูรย์ บอกว่า คงไม่ได้สนใจ และไม่กังวลใจ เพราะเขาไม่อยากเจอหน้าเฉยๆ
นักข่าวถามต่อว่า ไม่อยากเจอหน้าเพราะเหม็นขี้หน้า ใช่หรือไม่ ทนายวิฑูรย์ หัวเราะแล้วบอกว่า “พูดซะตรงเลย ก็ทำนองนั้น” ซึ่งที่เหม็นหน้า เพราะ "บอสปัน" ก็คิดเหมือนบอสฝั่งชายว่า กฤษอนงค์ เป็นต้นเหตุทำให้ดิไอคอนต้องแตก พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้มีประเด็นคลิปการก้มกราบเท้าตามที่เป็นกระแสข่าว
สำหรับพฤติกรรมของ นางสาวกฤษอนงค์ หากเข้าข่ายความผิด "พยายามกรรโชกทรัพย์" ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ซึ่งอาจจะไม่ต้องออกหมายจับ แต่ใช้เป็นหมายเรียกแทน กรณีดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในการพิจารณาของตำรวจว่า ผู้ถูกกล่าวหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไม่