วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 บรรยากาศที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ได้เดินทางเข้าเยี่ยม นายษิทรา ตั้งแต่ก่อนเวลา 08:00 น. โดยเข้ามาที่บริเวณประตูด้านข้างของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และรอด้านใน ไม่ได้มาพบปะสื่อมวลชน
โดยก่อนหน้านี้ "ทนายสายหยุด" แจ้งว่า จะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังเข้าเยี่ยม นายษิทรา ในเวลาประมาณ 10:00 - 11:00 น. จนกระทั่ง เวลาประมาณ 10:40 น. นักข่าวที่รออยู่ด้านนอก พยายามติดต่อสอบถามโดยการโทรศัพท์ไปที่นายสายหยุด ซึ่งเจ้าตัวรับสาย พร้อมกล่าวว่า ได้เข้าไปเยี่ยมนายษิทรา ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเยี่ยมเพียงแค่ไม่กี่นาที ก็ออกจากเรือนจำฯ ทันที โดยอ้างว่ามีธุระต่อ
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุด้วยว่า ก่อนหน้านี้ทนายสายหยุด รับปากว่าจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่กลับหลบสื่อไปทันทีหลังเยี่ยม "ทนายตั้ม" เสร็จสิ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังจากที่มีข้อมูลจากตำรวจกองปราบปราม ยืนยันว่า ได้จับกุมตัว นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือ "นายนุ" คนสนิทของ "ทนายตั้ม" กับนางสาริณี นุชนาถ ภรรยาของนายนุ ในข้อหา ‘ร่วมกันฉ้อโกงเงิน’ จำนวน 39 ล้านบาท จาก "เจ้อ้อย" เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
จากนั้นคุณอโนทัย สกุลทอง นักข่าวของเรา สอบถามไปที่ ทนายสายหยุด ทางโทรศัพท์ เจ้าตัวรับสาย พร้อมให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้หนีสื่อ แต่มีงานต่อ เพราะต้องรีบออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังมีข่าวว่า นุ กับ สาริณี หรือ แซน ถูกจับ เพราะตนเองเข้าไปเยี่ยม "ทนายตั้ม" ตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นคิวแรก และระหว่างนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตำรวจจับ นายนุ กับแซน ได้ เลยจะรีบมาตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา "ทนายตั้ม" ด้วยหรือไม่ เพราะมีข่าวลือว่า จะแจ้งข้อกล่าวหาด้วย อยากตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องเป็นข่าวลือ เพราะตนเองเป็นทนายความ มีสิทธิถามรายละเอียดได้
ส่วนหากมีการแจ้งข้อกล่าวหาได้เตรียมแผนดำเนินการไว้อย่างไรบ้างนั้น ทนายสายหยุด บอกว่า อย่างที่เคยบอกไว้ หากพยานหลักฐานชี้ชัดไปว่า "ทนายตั้ม" เป็นผู้ร่วมขบวนการนี้ แบบที่ปฏิเสธลำบาก ตนเองก็จะไม่ทำคดีนี้ให้ และจะต้องไปพูดคุยกับ "ทนายตั้ม" อีกครั้ง
"วันนี้ที่เข้าไปเยี่ยม "ทนายตั้ม" ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ "ทนายตั้ม" เรื่องคดี 39 ล้านบาท เพราะตอนที่อยู่ภายในเรือนจำ ยังไม่ทราบว่า "นุ กับ แซน" ถูกจับแล้ว แต่พอระหว่างเยี่ยม ทางเลขาได้แจ้งข้อมูลให้ทราบ ซึ่งตอนที่พูดคุยกันกับ "ทนายตั้ม" ภายในเรือนจำ ก็ยังไม่ได้ถามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และไม่อยากบอกให้ "ทนายตั้ม" กังวลใจด้วย"
อย่างไรก็ตาม อยากให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาก่อน แล้วดูข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าเกี่ยวข้องกับ "ทนายตั้ม" หรือไม่ เพราะหากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา จะบอกพยานหลักฐานตามสมควรที่ตำรวจมี และเมื่อทนายความดูพยานหลักฐานก็จะทำให้รู้ได้ว่า "ทนายตั้ม" เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่า ไม่เกี่ยวและปฏิเสธ ก็ทำคดีต่อ แต่หากพยานหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวข้องแน่นอน ไปไม่รอด ก็คงไม่ทำคดีต่อในคดีนี้แน่นอน
ทั้งนี้ จะขอรอดูจนกว่าจะถึงขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะไม่อยากพิพากษา "ทนายตั้ม" ไปก่อนเหมือนที่สังคมกำลังพิพากษา
ส่วนการเข้าเยี่ยม "ทนายตั้ม" ในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยเรื่องความเป็นอยู่ เพราะเมื่อวาน (11พ.ย.2567) ไม่ได้เข้ามา "ทนายตั้ม" ก็กระวนกระวาย และ "ทนายตั้ม" ก็อยากให้ตนเองเข้ามาเยี่ยมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่หากมีประเด็นก็สามารถเข้ามาได้ตลอด ทั้งนี้ "ทนายตั้ม" ฝากบอกภรรยา ให้ทนอยู่ไปก่อน ส่วนเรื่องทางคดีที่ปรึกษากัน ยังไม่ขอบอกในรายละเอียด และความเป็นอยู่ของ "ทนายตั้ม" ตอนนี้ ก็อยู่ได้สบายไม่มีอะไร