svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

"ปานเทพ" มอง "ทนายตั้ม" พิรุธชัด ไปกองปราบหวัง "รอดหมายจับ" (มีคลิป)

"ปานเทพ" มอง "ทนายตั้ม" พิรุธชัด ไปกองปราบชิงปรากฏตัวหวัง "รอดหมายจับ" ตอบคำถามผู้สื่อข่าว แบบตะกุกตะกัก ไม่ชัดเจน เบี่ยงประเด็น

6 พฤศจิกายน 2567 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต แถลงถึงกรณีที่ "ทนายตั้ม" นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ ที่กองบังคับการปราบปราม ว่า ทีมงาน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้สื่อข่าวอาวุโสและเรา ได้วิเคราะห์ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ทนายตั้ม" ไปเพื่ออะไร โดยบริบทอ้างว่าเป็นเพราะตำรวจไปอยู่พื้นที่ใกล้บ้าน และได้พาดพิงสื่อว่า มีกระบวนการคุกคาม 

แต่จากที่เราได้มีโอกาสตามดูข้อเท็จจริง เราคิดว่าตำรวจยังไม่ได้ทำหน้าที่เกินเลย ในฐานะผู้ที่ทำหน้าที่คดีความและเป็นคดีใหญ่ อย่างน้อยตำรวจต้องติดตามสถานการณ์ความคืบหน้า เพื่อจะมั่นใจได้ว่าผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหามีความปลอดภัย ไม่หลบหนี

 

และที่สำคัญสื่อก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่สำหรับทนายตั้มในรอบนี้มีการพาดพิงการทำงานของสื่อและตำรวจอย่างไม่ถูกต้อง แม้กระทั่งการห้ามปรามสื่อในการซักถาม ถือว่าผิดปกติ จากวิสัยของทนายตั้มที่ชอบแถลงข่าว

เมื่อวานนี้เราสรุปกันว่าเมื่อวานนี้ "ทนายตั้ม" น่าจะมีเจตนา เพื่อทำให้ตัวเองได้แสดงตนต่อพื้นที่สาธารณะว่าตัวเองไม่หนีไปไหน โดยเชื่อว่า "ทนายตั้ม" น่าจะมีแหล่งข่าวในกองปราบ และเชื่อว่าตัวเองอาจจะถูกหมายจับ และการปรากฎตัว

เพื่อต้องการทำให้ลดผลกระทบที่อาจจะถูกหมายจับ หรือแม้กระทั่งการคัดค้านการประกันตัวของตำรวจ เพื่อแสดงตนว่าตัวเองนั้นปรากฎตัวในที่สาธารณะ และไม่หลบหนีใช่หรือไม่ และน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ปรากฎตัว 

 

"ทนายตั้ม" เป็นทนายความที่รู้การเคลื่อนไหวของคดีในตำรวจอยู่แล้ว เพราะทำงานร่วมกับกองปราบ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาอย่างยาวนาน และมีตำรวจติดตามมาอย่างต่อเนื่องย่อมรู้อยู่แล้วว่า มีไม่กี่ทางที่ตำรวจจะตามขนาดนี้ จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นเทคนิคทางกฎหมายที่หวังจะไม่ถูกออกหมายจับ หรือหากถูกออกหมายจับก็จะได้รับการประกันตัว 

 

ณ วันนี้ถือว่า "ทนายตั้ม" ได้ถูกดำเนินคดีความจาก "พี่อ้อย" และปัจจุบันพี่อ้อยดำเนินคดีมากกว่า 71 ล้านบาทแล้ว เพราะพี่อ้อยเพิ่งกระจ่างในความจริงบางเรื่อง และแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม คือ

1.เงิน 71 ล้านบาท

2.เงิน 39 ล้านบาทที่พี่อ้อยโอนไปให้บุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของทนายตั้ม

3.ประเด็นเงินส่วนต่างจากรถที่ซื้อรถเบนซ์ ประมาณ 1.5 ล้านบาท 

ตอนนี้จึงมี 3 คดี ที่พี่อ้อยแจ้งความไปกับกองปราบ เมื่อวานนี้ที่เราสังเกตเห็นพบว่าในเรื่องรถ ทนายตั้มตะกุกตะกักในการแถลงข่าว ถึงขนาดตวาดไม่ให้ผู้สื่อข่าวบางคนสอบถาม และตะกุกตะกักเรื่องภาษีของเงิน 71 ล้านบาท

ที่ถามว่าได้จ่ายภาษีแล้วหรือยัง การไม่ได้สำแดงรายได้และคิดจะจ่ายภายหลัง เป็นการอำพรางหรือไม่ ซึ่งขัดแย้งกับที่ "ทนายตั้ม" เคยอ้างก่อนหน้านี้ 

 

ส่วนเรื่อง 39 ล้านบาท "ทนายตั้ม" พูดแบบตัดตอน คงรู้ว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ที่พยายามพูดว่ามีสแกมเมอร์ชาวจีน หรือตัวปลอมดาราจากจีน มันเป็นคนละเรื่องและคนละขั้นตอนกับเงินที่หายไป 39 ล้านบาท เหตุนี้มาจากการโอนเงินคริปโตได้ และ "ทนายตั้ม" พาบุคคลหนึ่งชื่อเล่นว่านุ ซึ่งเป็นเพื่อน "ทนายตั้ม" พร้อมกับภรรยา มารับการโอนเงินสดให้เป็นคริปโต 

 

จากการตรวจสอบพบว่าพี่อ้อยจ่ายไปแค่ 2 ครั้ง และทนายตั้มอ้างว่าถูกอายัดบัญชีไม่สามารถเข้าอีกได้เลย และอ้างกับพี่อ้อยว่าถูกดูดเงิน เพราะไปทำธุรกรรมให้พี่อ้อย

 

ซึ่งทนายตั้มไม่พูดให้หมดและไม่พูดให้ครบว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะทนายตั้มพาคนเหล่านี้มาเอง และที่สุดพี่อ้อยก็หลงเชื่อโอนเงินให้ 39 ล้านบาท เมื่อพี่อ้อยรู้ความจริงจึงได้แจ้งความตามกระบวนการ เพราะ 39 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องการโอนเงินให้ดารา

 

ดูคลิป