ผู้ปกครองเผยเรื่องราวของ "ครูจอยเด็ก" รักทุกคนรวมเพื่อนฝูงที่มาจัดดอกไม้ทำแท่นตั้งคล้ายการตั้งโลงศพจำลองให้กับครูประดับดอกไม้อย่างสวยงามเพื่อเป็นการส่งดวงวิญญาณและขอชาวเน็ตอย่าดราม่าเลิกโจมตีคณะครูและชาวบ้านรรวมถึงผู้ที่มาทำงานที่โรงเรียนต่างอยู่ในความเศร้าโศกและเหนื่อยกันทั้งนั้นขอทำงานครั้งสุดท้ายให้กับครูและนักเรียนที่เสียชีวิต
4 ตุลาคม 2567 น.ส.สุมิตา อายุ 27 ปี หนึ่งผู้ปกครองของนักเรียน ชั้น ป.2 ซึ่งมาช่วยงานเป็นจิตอาสามาช่วยงานตั้งแต่วันแรก เปิดเผยเรื่องราวว่า ลูกของตัวเองนั้นเรียนอยู่ที่นี่รวมถึงหลานอีก 5 คน โดยลูกของตัวเองได้กลับมาถามว่าแม่จะให้หนูไปทัศนศึกษาที่ทางโรงเรียนจัดหรือเปล่า เลยบอกลูกสาวไปว่า ถ้าอยากไปจะเซ็นอนุญาตไปให้
แต่พอมาอีกวันหนึ่งลูกก็มาบอกว่าไม่อยากไปแล้ว มันไกลบ้านเราจังเลยและคงไม่สนุกต้องนั่งรถบัสไปไกล ตนก็ตามใจลูกจึงไม่ได้ไปกับเพื่อนและหากไปแล้วลูกนั่งรถคันที่เกิดอุบัติเหตุก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต คงเสียลูกไปอย่างแน่นอน
และยังเล่าเรื่องของ "ครูจอย" พิมพ์ทอง สมบัติ สอนชั้น ป.3 ที่ช่วยเด็กจนเสียชีวิตด้วย ว่า เป็นครูที่อัธยาศัยดีมาก เด็กรักทุกคน ตอนนี้ในห้องเรียน ที่ครูจอยสอนประจำชั้น จะเห็นว่าบรรดาเพื่อนที่เป็นช่างทำดอกไม้และผู้ที่อยากมาร่วมไว้อาลัยได้จัดแท่นวางดอกไม้ที่คล้ายจะวางโลงศพไว้และประดับประดาดอกไม้และของตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เพียงห้องเดียวที่มีการประดับแบบนี้ขึ้นมา
เพราะว่าครูจอยนั้นเป็นที่รักของเด็กนักเรียนมากและถึงแม้ว่าลูกของตัวเองนั้นยังไม่ได้เรียนกับครูจอยก็จริง แต่เพื่อนๆผู้ปกครองที่มีลูกๆหลานๆและเรียนอยู่ห้องครูจอยนั้นต่างก็เล่าว่า
เป็นครูที่ตั้งใจสอนเด็กมากและเป็นครูที่ใจดีมาก ซึ่งในห้องเรียนแห่งนี้ทำให้นึกถึงครูจอยอย่างมากซึ่งก็เพิ่งได้รับรางวัล เพิ่งได้รับรางวัลระดับเหรียญเงินการคัดเลือกผลงานวิธีปฏิบัติที่ดี (Best practice) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองศีลธรรม และประชาธิปไตยของสถานศึกษาและครูผู้สอน ระดับเขตพื้นที่การศึกษาประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ระดับเขตพื้นที่การศึกษาด้วย
เสียดายมากที่ครูจอยมาด่วนเสียชีวิตไปแบบนี้ ถึงแม้ลูกของตัวเองนั้นจะไม่ได้ไปทัศนศึกษาด้วย แต่ก็มาช่วยงานตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ด้วยความเต็มใจ ซึ่งชาวบ้านระแวกโรงเรียนแห่งนี้ต่างก็มาช่วยกันทุกบ้าน เพราะโรงเรียนแห่งนี้ก็มีลูกหลานของคนในหมู่บ้านเรียนกันเยอะ
ขอร้องว่าในเรื่องการเสนอความคิดเห็นในโลกโซเชียลในเรื่องต่างๆขอให้หยุดกันบ้าง ขอให้เห็นใจพ่อและแม่ของนักเรียนที่สูญเสียลูกไปรวมถึงญาติของครูอีก 3 คน และต่างคนก็ทุ่มเททั้งแรงทั้งพลังทุนทรัพย์เพื่อช่วยเหลืองานในครั้งนี้ให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณทั้ง 23 คน สู่สวรรค์เป็นครั้งสุดท้ายและนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่และยากที่จะลืมกันทุกคน รวมถึงคนทั่วประเทศและหากมีการจัดไปทัศนาจรอีก ขอให้เพิ่มความปลอดภัยของนักเรียนเป็นหลักอีกด้วย
"ชวน หลีกภัย" มาร่วมงานพิธีศพ 23 ครอบครัวเหยื่อรถบัสมรณะ
นอกจากนี้ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาที่ โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม ตำบลลานสัก อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี และเป็นสถานที่ตั้งศพกับนักเรียน 23 ราย และครูอีก 3 รายด้วย
พร้อมพบปะพูดคุยให้กำลังใจและร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวของครูและนักเรียน ทั้ง 23 ราย และมอบเงินจำนวนหนึ่งช่วยเหลือให้กับครอบครัว ผ่านสำนักงานคลังจังหวัดอุทัยธานี และยังได้เดินทักทายให้กำลังใจกับประชาชนที่มาตั้งโรงทาน และชาวบ้านที่มาร่วมงานอย่างเป็นกันเอง
โดย นายชวน เผยว่า ได้มีโอกาสมาให้กำลังใจพ่อแม่ และญาติของเด็กนักเรียนและครู พร้อมทั้งได้มีโอกาสอภิปรายในสภาร่วมกับสมาชิก และได้ให้ข้อสังเขปไว้ข้อหนึ่งว่า ปัญหาเรื่องคุณภาพของยานพาหนะที่ใช้ ซึ่งทุกคนคงทราบเรื่องนี้กันดีแล้ว และพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ แต่ก็ได้ตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่า
การไปทัศนศึกษาของนักเรียนนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ ไม่ควรไปยกเลิก เพียงแต่ว่าจัดระบบให้เหมาะสมว่าไปไกลแค่ไหน เรียนชั้นไหน อายุเท่าไหร่ ซึ่งประเด็นที่สมาชิกพูดกันมากก็คือคุณภาพของยานพาหนะ ซึ่งก็ขอให้โอกาสนี้ขอบคุณแทนพี่น้องชาวอุทัยธานี ที่สวัสดิการทั้งหลาย รวมทั้งท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พันปีหลวง และสมเด็จพระบรมราชินี ราชวงค์ทุกพระองค์ที่ทรงห่วงใยต่อเหตุการณ์ เหตุการณ์ในครั้งนี้หากเปรียบเทียบแล้ว ถือเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศเรา หรืออาจจะของโลกที่เราสูญเสียคนด้วยอุบัติเหตุแบบนี้ถึง 23 คน และบาดเจ็บอีกรวมแล้วกว่า 50 คน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการเตือนใจทุกฝ่ายให้ระมัดระวัง และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องปล่อยผ่านไป ก็เชื่อว่าเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด อีกทั้ง ประเทศเราก็ถือว่าเป็นประเทศที่เกิดอุบัติเหตุลำดับต้นๆของโลกด้วยเช่นกัน