svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ทนายธรรมราช ร้องสอบ รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ปมเมียถูกดำเนินคดีเงินทอนวัด

ทนายธรรมราช ร้องสอบ รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ปมเมียถูกดำเนินคดี ติดใจทำไมถึงไม่โดนด้วย พร้อมตั้งข้อสงสัยทรัพย์สินถูกยึดหรือยัง มองเรื่องนี้ความเสียหายหลายสิบล้าน ทำไมสังคมไม่มีใครพูดถึง ต่างจากคดี "ครอบครัวเชื่อมจิต" มีผู้เสียหายแจ้งความ 5 คน มูลค่าความเสียหาย 50,000 บาท

วันที่ 25 กันยายน 2567 เวลา 14.00 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ พร้อมด้วย  นายประพันธุ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ นำข้อมูลหลักฐานต่างๆ เดินทางเข้าพบ พนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อขอให้ตรวจสอบสำนักงานพระพุทธศาสนา 

นายธรรมราช เปิดเผยว่า ตนต้องการให้ตำรวจ บก.ปปป. ดำเนินการตรวจสอบสำนักงานพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะกรณีเมื่อปี 2561 ที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งพิพากษาจำคุกอดีตภรรยาของ นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดปทุมธานี (ผอ.พศจ.ปทุมธานี) เป็นเวลา 20 ปี พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย 12 ล้านบาท  โดยตนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมนายบุญเชิด ถึงไม่ถูกดำเนินคดีด้วย อีกทั้งทรัพย์สินที่อดีตภรรยามีร่วมกับ นายบุญเชิด ถูกยึดไปแล้วหรือไม่ 

รวมทั้ง การที่ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา แต่งตั้งให้นายบุญเชิด เข้ามาเป็นรองผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนานั้น ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติหรือไม่ จึงอยากนำหลักฐานมาให้ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินการตรวจสอบ

ทนายธรรมราช ร้องสอบ รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ปมเมียถูกดำเนินคดีเงินทอนวัด

นายธรรมราช กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีมูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท แต่ทำไมสังคมไม่มีใครพูดถึง ต่างจากคดีของครอบครัวเชื่อมจิต ที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความเอาผิดเพียงแค่ 5 คน มูลค่าความเสียหายรวมกันประมาณ 50,000 บาท สังคมกลับพูดถึง และสนใจเรื่องนี้กันมากกว่า 

ขณะที่ นายประพันธุ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ตนขอใช้คำว่า คดีดังกล่าว เป็นคดีเงินทอนสำนักพุทธฯ เนื่องจากตนได้รับข้อมูลมาว่า เมื่อปี 2561 ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ในขณะนั้น ได้มีการลงไปสอบถามวัดต่าง ๆ ว่า ขาดเหลือเงินในการซ่อมบำรุงวัดเท่าไร จะเอางบประมาณมาให้ แต่มีข้อแม้ว่าให้ทางวัดแจ้งว่าขาดเงิน 20 ล้านบาท โดยคนในสำนักพุทธฯ อ้างกับทางวัดว่า จะเอามาให้แค่ 5 ล้านบาท ส่วนอีก 15 ล้านบาท จะเก็บไว้ให้วัดอื่น ๆ ซึ่งทางวัดด้วยความที่เชื่อใจและเห็นว่าเป็นคนจากสำนักพุทธฯ ลงมาพูดคุยเองจึงเซ็นยินยอมให้ไป โดยที่ไม่รู้ว่าเงินส่วนต่างอีก 15 ล้านบาทนั้น ถูกคนในสำนักพุทธฯ ทุจริตไป จึงขอใช้คำว่า "เงินทอนสำนักพุทธฯ ไม่ใช่เงินทอนวัด"