นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงชี้แจงประเด็นข้อสงสัยต่างๆ หลังเจอกระแสโต้กลับจากสังคม ปมการขุดคุ้ยเรื่องธุรกิจสีเทาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย จนตัวเองต้องเงียบหายไปจากหน้าสื่อระยะหนึ่ง ที่ษิทราลอว์เฟิร์ม
นายษิทรา กล่าวว่า ตนจะตอบทุกข้อสงสัยของสังคม รวมถึงเรื่องความร่ำรวยของตัวเอง กับงบการเงิน บริษัทษิทราลอว์เฟิร์ม ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2565 ซึ่งติดลบ ย้อนไปก่อนหน้าที่จะเป็นบริษัทนี้ ตนเคยเปิดบริษัทชื่อ วิสด้อมลอว์เฟิร์ม เมื่อปี 2561 เอารายได้ และเงินส่วนตัวเข้าบริษัท บางคดีก็ทำให้ฟรี
กระทั่งเริ่มทำธุรกิจลอว์เฟิร์มช่วง เม.ย.2565 มียอดรวมรายได้ 22 ล้านบาท แต่ที่ยังไม่เคยเปิดเผย เพราะข้อมูลยังไม่เสร็จ ซึ่งสามารถตรวจสอบกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ ส่วนภาษีบุคคลธรรมดาปีที่แล้ว ตนเสียไปหลักล้านบาท ยืนยันยื่นถูกต้อง ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จึงไม่รับเรื่องตนเป็นคดี และส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบแทน
นายษิทรา ยังเล่าย้อนกลับไปตอนทำคดีลุงพล ไชยพล วิภา โดยระบุว่า ช่วงนั้นไม่มีใครว่าจ้าง ทำให้ต้องใช้เงินเก็บตัวเอง ส่วนมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนที่ตนเป็นเลขาธิการนั้น ตัวเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงินเลย แต่กลับโดนแฟนคลับลุงพล กล่าวหาว่า มีเงินโอนเข้ามาเป็นแสนเป็นล้านนั้น ยืนยันว่าไม่มี พร้อมเปิดเผยหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งแต่ละยอดไม่ถึงหลักหมื่นบาท โดยมียอดเงินรวมในบัญชีของมูลนิธิมี อยู่หลักแสนบาทเท่านั้น
ส่วนประเด็นเรื่องเกี่ยวพันเว็บพนันออนไลน์นั้น ยืนยันตนไม่รู้จักสารวัตรซัว และเว็บพนันเฮงเกม ยินดีให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะตัวเองก็ไม่เล่นพนัน
สำหรับความสนิทสนมระหว่าง ตนกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.นั้น ตนรู้จักกันมาได้ 5 ปีแล้ว เมื่อมีเรื่องอะไรก็จะไปปรึกษา ยืนยันการโพสต์ภาพนั้น ไม่ได้ต้องการอวดอ้างว่า สนิทกับใคร เพราะตนโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ในชื่อลูกที่มีเพื่อนหลักร้อยคนเท่านั้น และได้ขอโทษ รอง ผบ.ตร.ไปแล้ว
ส่วนประเด็นถุงเงิน 6 ล้านบาทของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นั้น ตนได้รับข้อมูลตามข้อเท็จจริง แต่เรื่องเงินดิจิตัล 50 ล้านบาท ที่โอนให้ลูกชายนายชูวิทย์ ตนได้เข้าพบตำรวจกองปราบ เพื่อให้ข้อมูลไปแล้ว จากนี้ก็เป็นการสืบสวนของตำรวจ
“ขอพูดเรื่องที่ นายชูวิทย์ พูดถึงแจ็ค ที่เป็นญาติตัวเอง เขาเป็นคนขายนกสวยงาม และขายนาฬิกา เมื่อใส่ความเขา ทำให้เกิดความเครียด ผมรู้ว่า ข้อมูลนี้มาจากญาติ แจ็ค ที่ไม่ชอบกัน อาศัยจังหวะทำลายแจ็ค” นายษิทรา กล่าว
ส่วนประเด็น ออยศรี นั้น ที่ไม่ให้ขึ้นมา เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตน และแนะนำว่าควรไปหาหมอ ยืนยันไม่ได้รังเกียจอะไร แต่เขาเคยทำงานกับตน ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ตนไม่เคยใส่ร้ายอะไรเขา เพราะถ้าพูดถึงก็จะเจ็บอีก ทุกอย่างจะดำเนินการตามกฎหมาย ตนจะไม่ฟ้องประชาชน ที่เข้ามาต่อว่าตัวเอง แต่จะฟ้องคนที่กุเรื่องขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นใคร
นายษิทรา ยังพา น.ส.อ้อย ซึ่งเป็นลูกความตัวเอง ที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส มาชี้แจงประเด็นขึ้นเครื่องบิน VIP โดย ทนายตั้ม เผยว่ารู้จักกับ น.ส.อ้อย ตั้งแต่ตอนที่บริจาคเงินซื้อวัคซีนให้คนไทยช่วงโควิดระบาดร่วม 20 ล้านบาท
ส่วน น.ส.อ้อย กล่าวว่า ตนประกอบธุรกิจทำร้านเบเกอรี่กับแฟน ติดตาม ทนายตั้ม ในฐานะแฟนคลับ ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว โดยคลิปที่ถูกนำไปเผยแพร่เรื่องการเดินทางขึ้นเครื่องบิน ทนายตั้มไปส่งตนที่สนามบิน และมีตำรวจ 2 นายยืนที่ฟุตปาธ เข้ามาถามทนายตั้มว่า จะไปไหน
โดยทนายตั้มบอกว่ามาส่งพี่สาว ก่อนที่ตำรวจจะช่วยยกกระเป๋าให้ทั้งที่พวกตนปฏิเสธว่า ทำเองได้ไปแล้ว ส่วนพนักงานประจำเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ยกมือไหว้ทักทายตามหน้าที่เป็นปกติ รวมถึงไม่ได้พาไปแทรกคิวผู้ใด เพราะตนมีตั๋วเดินทางชั้นธุรกิจ ที่จะมีช่องทางพิเศษอยู่แล้ว
น.ส.อ้อย กล่าวอีกว่า ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตนกับทนายตั้มนั้น เจ้าตัวเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย คอยประสานงานกับฝ่ายกฎหมายที่ฝรั่งเศส ที่ผ่านมาตนไม่อยากออกสื่อ เพราะไม่อยากเป็นที่จับตาของสังคม จากนี้จะมอบหมายให้ทนายตั้มดำเนินการทางกฎหมายอีกครั้ง หลังมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่
ส่วนเรื่องบ้านหรู และคอนโดมิเนียมที่ฝรั่งเศส ซึ่งชาวเน็ตจับตามองว่า เป็นของทนายตั้ม หรือไม่นั้น น.ส.ออย บอกว่า บ้าน และคอนโดดังกล่าว เป็นของตนเอง ซึ่งช่วงที่ ทนายตั้ม มาเที่ยวที่ฝรั่งเศส ก็จะให้เขาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวตนด้วย โดยตอนนี้กำลังปรับปรุงคอนโดมิเนียมอยู่ ซึ่งเหตุที่ให้เขามาอยู่นั้น เป็นเพราะรู้สึกเหมือนเป็นน้องตัวเอง เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกเป็นห่วงด้วย