10 ธันวาคม 2565 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถึงความคืบหน้า การเดินหน้าแฉกลุ่มทุนจีนสีเทา ที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย โดยระบุว่า
“วิ่ง สู้ ฟัด”
“ตำรวจทำคดี "ตู้ห่าว" ตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไร้ข้อหา "ฟอกเงิน"
ทั้งที่ ยาเสพติดเป็น ‘ความผิดมูลฐาน’ ของการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ มันเหมือนของคู่กัน แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้ แต่ตำรวจคงงานยุ่ง ลืมข้อหานี้ไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
นายชูวิทย์ ระบุว่า เมื่อตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าว ทำให้ "พัชรินทร์" และพรรคพวกที่เป็นตัวแทนของตู้ห่าวไม่ถูกตั้งข้อหา "สมคบกันฟอกเงิน" ไปด้วย เดินเชิดหน้าพร้อมทีมทนาย เข้าออกพบตำรวจทีมรองโจ๊กอย่างชิลชิล ในฐานะ "พยาน"...
หาใช่ผู้ต้องหาไม่ ทั้ง ๆ ที่โอนเงินอีนุงตุงนัง พัวพันกันไปมาในบัญชี เป็นตัวแทนให้ตู้ห่าว มีหลักฐานเห็นกันจะจะ ถึงแม้ว่าตู้ห่าวจะหลุดคดียาเสพติด แต่หากชี้แจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า มาจากยาเสพติด เพราะแค่ระยะเวลา 10 กว่าปี มีทรัพย์สินถึงหลายพันล้านได้อย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องตกเป็นของแผ่นดิน
หากมีใครไปถามตำรวจว่า ทำไมไม่ตั้งข้อหา "ฟอกเงิน"? คงตอบว่า กำลังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ จะไปรีบไม่ได้ เพราะทรัพย์สินมาก เดี๋ยวเสียรูปคดีหมด เป็นความลับในสำนวน ห้ามเปิดเผย ขอให้เดาเอาแล้วกันว่า ระหว่างตำรวจกับอัยการ จะไว้ใจใครได้?
ผมจึงต้อง "วิ่งสู้ฟัด" ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ผมเลยสักนิด แต่เพื่อให้ "สังคม" รู้เท่าทัน จำเป็นต้องพูดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถุงขนมรั่วหล่นระหว่างทาง อย่าไปคิดหวังรางวัล 5% หากได้จะยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว จำคำพูดผมไว้
นายชูวิทย์ กล่าวว่า คดีนี้มองได้ว่ามันแพ้ตั้งแต่ "รำมวย" เพราะไม่แจ้งข้อหา "ฟอกเงิน" นี่เอง ส่วนเหตุของความไม่ไว้วางใจ เพราะ ลำดับแรก เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจนครบาลตั้งใจไปจับบ่อนอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่เรียกสื่อไปด้วยสักคน แต่กลับไม่พบบ่อน เพราะย้ายโต๊ะหนีไปก่อนเพียง 1 วัน พบคนจีนกว่า 200 คน เสพยากันเพลิน
จีนเจ้าของร้านไม่ตกใจ คิดว่า "อั๊วเคลียร์ได้" แต่มีตำรวจน้ำดีไม่เอาด้วย เพราะยามาก เลยรีบกดคลิปส่งให้สื่อก่อน งานนี้เลยเคลียร์ไม่ได้ ตรวจฉี่ที่เกิดเหตุพบฉี่ม่วง 160 คน
แต่ภาพกล้องวงจรปิดในร้านถูกลบออกหมด
อันนี้ไม่น่าไว้ใจ ครั้งที่ 1
ลำดับที่ 2 เจ้าของพื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจฉี่ผู้ต้องหาที่โรงพัก พบฉี่ม่วงเหลือเพียง 60 คน แถมปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หลานนายตู้ห่าว เดินออกไปพร้อมรถหรูของกลางอีก 4 คัน สบายใจเฉิบ ไม่ไว้วางใจ ครั้งที่ 2 บิ๊กโจ๊กโอนสำนวนมาคุมเอง หมายจับตู้ห่าวกว่าจะออกดองไว้เกือบเดือน จนผมไปยื่นร้องที่กระทรวงยุติธรรม วันรุ่งขึ้น ถึงออกหมายจับ จนถึงบัดนี้สำนวนไป 90% แต่ยังไม่มีข้อหา "ฟอกเงิน"
ที่สำคัญ ขณะนี้เหลือผู้ต้องหาฉี่ม่วงในผับจินหลิงอยู่เพียง 6 คน สู้กับคนรวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง มงกุฎสุดยอดทรัพย์สินของตู้ห่าว คือ โรงแรม ขนาด 380 ห้อง พร้อมที่ดิน มูลค่ามหาศาล เพิ่งโดนชุด "พาลีปราบยา" ของรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน เจ้ากระทรวงยุติธรรมไปอายัดสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้
แต่ต้องบอกว่า แค่อายัดไว้ชั่วคราว เมื่อพบกับสถานการณ์แบบที่ว่านี้ เป็นเหตุให้ผมต้องไปขอพบอัยการสูงสุดแต่เช้า เพราะถือว่า เป็น "ทนายแผ่นดิน" ผมเป็น "พลเมืองคนไทย" ย่อมมีสิทธิเข้าพบ แต่ผมได้แค่เฝ้าหน้าลิฟต์ ไม่ได้ขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านไม่ว่างพบ จะให้ผมไปยื่นเรื่องกับโฆษกฯ ถ่ายรูปแล้วเผ่น คงไม่ใช่แล้ว จนรองอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน มาพบ
ผมร้องว่า คดีนี้สมควรเป็น "คดีนอกราชอาณาจักร" เหตุเพราะ มียาเสพติดนำเข้ามาจากจีน มีตราประทับภาษาจีนชัดเจน มีคนแปลงสัญชาติไทยเป็นหัวหน้าขบวนการ มีเครือข่ายเป็นชาวจีนเดินทางเข้าออกประเทศอยู่เป็นประจำ และเงินทุนโอนมาจากต่างประเทศด้วย
จึงสมควรเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ข่าวหนาหูมาว่า "ยอมเสียแขนขวาดีกว่าเสียชีวิต" เสียเงิน 500 ล้าน ดีกว่าเสียทรัพย์สิน 5,000 ล้าน สงครามยังไม่จบ แม้จะเคลียร์กันหมด สามัคคีชุมนุมกันเรียบร้อย
แต่ยังเหลือผมที่ ‘วิ่งสู้ฟัด’ อยู่อย่างเดียวดาย”
ทั้งนี้ภายหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ นายชูวิทย์ ได้แสดงความคิดเห็นระบุว่า คดีใหญ่ ต้องมีเจ้าภาพ ผบ.ตร. กลายเป็นบุคคลสูญหาย ทั้งๆที่ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตาม ป.วิอาญา ส่วนรองโจ๊กและรองต่อเป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเท่านั้น
มันมีพิรุธเยอะเกินไป ท่านต้องออกมาสั่งการด้วยตัวเองครับ
ก่อนที่คดีจะเละ กลายเป็นมวยล้มในตอนจบ
และล่าสุด นายชูวิทย์ ได้โพสต์ถึง ผบ.ตร.เกี่ยวกับคดีทุนจีนสีเทาระบุว่า
ผบ.ตร. ขี้กลัว?
เรื่องราว “มาเฟียทุนจีนสีเทา” สะเทือนสังคมไทยอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาไม่มีแผ่ว
กระทบเป็นวงกว้าง เหมือนขยะที่กองสุมอยู่ใต้พรมมานาน
เพิ่งจะทราบว่าการจับ “ผับจิงหลิน” มีเบื้องหลัง มากมายได้ถึงขนาดนี้
และความเลวร้ายชักช้าทั้งหลายทั้งปวง เกิดจาก “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” เสียเอง
หากทราบเรื่องราวต่อไปนี้ เสมือนประชาชนอย่างกระผม “ถูกตบหน้ากลางสี่แยกปทุมวัน”
เรื่องนี้จำเป็นต้องให้สังคมรู้
“บิ๊กโจ๊ก” หรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการตำรวจชาติ” ที่ออกหน้าสื่อแถลงข่าว กวาดล้างทุนจีนสีเทา ตามล้างตามเช็ด ทั้งวีซ่ามั่ว สวมบัตรประชาชน มูลนิธิเก๊ ยึดทรัพย์ อายัดเงิน สารพัดอย่าง
แท้จริงเป็นเพียง “โฆษก” ออกหน้าเวที แต่ไม่มีอำนาจ เหมือนยักษ์ไม่มีกระบอง
จาก “คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 544/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน” จะรู้ซึ้งว่า
อะไรคือ “ปัญหาซ่อนเงื่อน“ ที่ทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อน เชื่องช้า อย่างที่คนอย่างผมต้องไปตามจิกตามจี้ กว่าจะเดินไปได้แต่ละก้าว
ทั้งที่ คดี “มาเฟียจีนสีเทา” ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และความเชื่อถือของประชาชน
แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ “บิ๊กเด่น” กลับออกคำสั่งให้
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล “บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร. เป็นเพียงผู้ควบคุม กำกับ ดูแล การสืบสวนสอบสวนเท่านั้น
ร่วมกับ พลตำรวจโท ภานุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่ท่านนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เคยเห็น ไม่เคยทราบมาก่อน ไร้บทบาทตัวตน
ไฮไลท์สำคัญแท้จริงเป็น “พลตำรวจโท ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” ที่เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน “คดีผับจินหลิง” นั่นเอง
การเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีอำนาจในการอนุมัติแจ้งข้อกล่าวหาได้หมด แต่กลับมีลูกน้องปล่อยตัวผู้ต้องหา “หลานนายตู้ห่าว” หายเข้ากลีบเฆม แถมรถหรูของกลางหายแวบไปอีก 4 คัน แบบ นิ่ม ๆ
หมายจับ “ตู้ห่าว” ก็ถูกดองไว้ร่วมเดือน กว่าจะออกได้ ทุกอย่างล่าช้าอืดอาดยืดยาด ผิดฝาผิดฝั่งไปหมด
แม้แต่คำสั่งแต่งตั้งฉบับนี้ กว่าจะออกมาได้ก็ปาไปวันที่ 15 พฤศจิกายน 65 ทั้งที่เรื่องเกิดตั้งแต่ 26 ตุลาคม 65
นั่นหมายความว่าก่อนหน้านั้น คดีใหญ่อย่างนี้ ให้แค่ระดับ “โรงพักยานนาวา” เจ้าของพื้นที่ที่ปล่อยปละละเลย จัดการกันเอง
มิน่าเล่า ผู้ต้องหา 200 กว่าคน ตรวจเจอฉี่ม่วงในที่เกิดเหตุ 108 คน มาถึงโรงพักเหลือแค่ 77 คน สลับฉี่หรือเปล่า? ถึงหายไปอีก 31 คน
ทำไมไม่ตั้ง “รองโจ๊ก” รับผิดชอบเป็น “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” คุมคดีสำคัญเช่นนี้?
เพราะไหน ๆ ก็ออกหน้าแอคชั่น ทีมงานพนักงานสอบสวนก็ดูเยอะแยะมากมาย 60 - 70 นาย แต่สำนวนไปอยู่กับทีม ผบชน. เสียอย่างงั้น
เขาทำอะไรกันอยู่?
จึงทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้
เพราะหากตั้ง บิ๊กโจ๊ก รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ตัว ผบ.ตร. นั่นแหละ จะต้องเป็นผู้เซ็นอนุมัติข้อหา เซ็นรับรองสำนวนเสียเองตามกฎหมาย
ด้วยอาการกลัวลนลานที่จะต้องรับผิดชอบในภาวะก่อนเกษียณ จึงขอทนแบกหน้ากับตำแหน่ง ผบ.ตร. ให้ถึงเดือนกันยายนปีหน้า ก็ได้ลาโรงแล้ว
หากเป็นอย่างนี้ อย่าไปเป็น ผบ.ตร. เลย
เล่นออกคำสั่ง “ลิเกลิงหลอกเจ้า” ให้คนหนึ่งออกหน้าแอคชั่น บู๊ล้างผลาญ แต่ให้อำนาจหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนกับอีกคน
มันช่างค้านสายตาประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ
แถมคนเป็นหัวหน้าที่แท้จริงก็ทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะแผลจากลูกน้องเละเทะสะเก็ดเต็มตัวไปหมด
การเป็นผู้นำองค์กรต้องกล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ ไม่ใช่ทำตัวเป็น “เต่าหัวหด” อยู่ในกระดอง อยู่ในตำแหน่งอย่างไร้ตัวตน แค่รอวันเกษียณ
คดีใหญ่แบบนี้ มี ผบ.ตร. คนไหนที่ออกคำสั่งกลับหัวกลับหาง จับต้นชนปลายกันไม่ถูกว่าใครเป็นใคร?
อำนาจ และหน้าที่มันต้องไปควบคู่กัน ไม่งั้นจะไปจัดการกับมาเฟียที่ไหนได้?
ใครทำงานไม่ได้ ท่านต้องปลดออก เพราะนี่คือความมั่นคงของสังคม และประเทศชาติ
หากทำงานไม่เป็นก็อย่าไปเป็นผู้นำองค์กรตำรวจเลยครับ เสียดายเงินภาษีที่ประชาชนเขาจ่ายให้เป็นเงินเดือนท่าน
โถ… ที่แท้บิ๊กโจ๊กเป็นแค่คนรำมวย
แต่คนชกจริงอย่าง “บิ๊กจ้าว” ผบช.น. ดันหลบไปอยู่หลังฉากกับ “บิ๊กเด่น” ผบ.ตร. จนคนดูเข้าใจผิดคิดว่า บิ๊กโจ๊กเป็นฮีโร่ มีอำนาจจัดการเรื่องนี้
ส่วน “อีแอบ” ผู้มีอำนาจที่แท้จริง มัวแต่นั่งเอะอะโวยวาย ด่าลูกน้องจนเข้าหน้าไม่ติด ทำงานไม่ประสีประสา
แล้วระดับ ผบ.ตร. ทำอะไรอยู่เล่า?
ช่วยออกมาจากหลังฉากเสียที หรือว่ากลัวอิทธิพล “ตู้ห่าว” เสียขนาดนั้น?
เป็นถึง ผบ.ตร. ยังแยกแยะไม่ได้ว่างานไหนสำคัญกว่ากัน
ก็เข้าโปรแกรม “ลาออกก่อนเกษียณ” เสียเลย
ดูจะเท่ห์กว่าทำหน้าที่ได้แค่
“ตัดริบบิ้น เปิดงานอบรม ตัดแต้มจราจร”
ออกหน้าไปวัน ๆ