5 ตุลาคม 2565 อัยการสูงสุด แจงกรณี “พ่อค้าไก่หมุน” ปลอมเป็น “ทนายความ” ซ้ำยังเคยชนะคดีอัยการ ทำกระบวนการยุติธรรมไทยปั่นป่วน ชาวเน็ตเปรียบเป็น “แฟรงค์ อบาเนลเมืองไทย” ขณะที่ โฆษกศาลยุติธรรมจ่อรื้อคดี ระบุศาลกำแพงเพชรแจ้งความแล้ว พร้อมพิจารณาละเมิดอำนาจศาลด้วยหรือไม่ รับไม่เคยเจอกรณีนี้มาก่อน เตรียมหารือสภาทนายฯ วางแนวป้องกัน ตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยกรณีปรากฏข่าวพ่อค้าไก่หมุนปลอมเป็นทนายความเเละว่าความชนะอัยการคดียักยอกทรัพย์ ว่า นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้มอบให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด
นายโกศลวัฒน์ กล่าวอีกว่า ได้โทรประสานงานไปยังนายธนพล ประเสริฐดี อัยการจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งได้รายงานข้อเท็จจริงแจ้งมาเวลา 12:30 น. ว่า ทางสำนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ศาลได้ช่วยกันตรวจสอบหาสำนวนตามที่เป็นข่าวกรณี พ่อค้าไก่หมุน ถึงคดียักยอก ที่แจ้งว่าอัยการแพ้คดีนั้น ตรวจสอบตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ยังตรวจไม่พบคดีดังกล่าว ว่าเป็นสำนวนคดีใดยังไม่ปรากฏ คงตรวจสอบพบแต่คดีข้อหาฉ้อโกงซึ่งบุคคลตามข่าวได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ และคดีดังกล่าวตกลงกันได้ศาลจึงจำหน่ายคดี
“ข่าวที่เกิดขึ้นจึงไม่ปรากฏสำนวนคดียืนยันว่าเป็นเรื่องใด ยังปราศจากมูลความจริง ขณะนี้กำลังเร่งรัดตรวจสอบหาคดียักยอกตามข่าวต่อเนื่อง หากตรวจพบจะรายงานเข้ามาที่สำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป”
“นายกสภาทนาย” สั่งแจ้งความเอาผิดอาญา “พ่อค้าไก่หมุน”
ขณะที่ สภาทนายความ ล่าสุด นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ นายวีรศักดิ์ โชติวานิช รองโฆษกสภาทนายความ ร่วมกันแถลงข่าวกรณี “พ่อค้าไก่หมุน” ว่า ตรวจสอบเบื้องตันพบว่าบุคคลที่แอบอ้างไม่ได้เป็นทนายความ ดังนั้นการกระทำของบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายอยู่ในหลายบท
ส่วนแรกเกี่ยวกับสภาทนายความ เข้าข่ายการกระทำความผิดมาตรา 33 ซึ่งกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นทนายความ หรือถูกพักหรือถูกลบชื่อจากการจะใช้ความไปว่าความในศาลรวมทั้งยื่นคำร้องคำฟ้องต่างๆ ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวจะมีโทษตามมาตรา 82 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในส่วนของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 264 และ 268 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่เนื่องจากใบอนุญาตทนายความเป็นสมาร์ทการ์ดแล้วก็ในบัตรอนุญาตทนายความนั้นจะปรากฏลายมือชื่อของนายกสภาทนายความ และนายทะเบียนสภาทนายความ ซึ่งเป็นลายมือชื่อหรืออิเล็กทรอนิกส์อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 269/1 มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 100,000 บาท และความผิดตามมาตรา 269/4 ซึ่งระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีหรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
พฤติกรรมดังกล่าวยังเป็นการไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อว่าตนเองเป็นทนายความ การกระทำดังกล่าวก็จะเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงและอาจจะส่งผลไปถึงฉ้อโกงประชาชนได้ เพราะมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก กระทำดังกล่าวสภาทนายความให้ความช่วยเหลือเนื่องจากเป็นความเดือดร้อนทั้งหมด นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังเป็นการละเมิดอำนาจศาลอีกด้วย โดย ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้สั่งการให้นายทะเบียนทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจไปดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่ดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างกับบุคคลทั่วไปที่จะมาแอบอ้างการประกอบวิชาชีพทนายความต่อไป
นายวิเชียร กล่าวว่า จากประสบการณ์ครั้งนี้ถือว่ารุนแรง เป็นการกระทำที่อุกอาจและร้ายแรงมาก ส่วนผลของคำพิพากษาบางคดีทราบว่าศาลได้พิพากษาไปแล้ว บางคดีถึงที่สุด ซึ่งตรงนี้ถือเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะพิจารณาต่อไปแบบไหนอย่างไร ส่วนคดีที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา ศาลสามารถเพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ผ่านมาได้ เพราะถือว่าเป็นกระบวนการพิจารณามิชอบ โดยจะให้เริ่มแต่งตั้งทนายความที่แท้จริงเข้ามาใหม่
นายวิเชียร กล่าวว่า ปกติการที่ทนายความจะเข้าดำเนินการว่าความในศาลจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากลูกความและไปยื่นคำร้องต่อศาล พร้อมกับสำเนาในประกอบวิชาชีพทนายความเป็นหลักฐานว่าเป็นทนายความถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับอนุญาตให้ว่าความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศาลได้ตรวจสอบ
"จริงๆ แล้วเรามีความตั้งใจว่าข้อมูลของสภาทนายความและศาลยุติธรรมจะต้องเชื่อมโยงกันเพื่อให้มีการตรวจสอบเวลามีการแต่งตั้งทนายความเข้าไปในคดี ศาลสามารถตรวจสอบได้ อันนี้จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้ขึ้นอีกขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่เป็นแนวคิดที่ตนเองจะเข้าไปพูดคุยกับทางสำนักงานศาลยุติธรรมต่อไป "