จากประเด็นร้อน ดราม่าในโซเชียลมีเดีย ที่ว่าด้วย ตัวเลข "ค่าไฟฟ้า" และ "ค่า Ft" (ค่าเอฟที) ปรับสูงขึ้นในตัวเลขที่ค่อนข้างสูง จาก Ft เดิม 1.39 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นเป็น 24.77 สตางค์ต่อหน่วย จนเกิดแฮชแท็ก #ค่าไฟแพง
ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบต่างออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ค่า Ft ที่ปรับขึ้นสูงมาจากอะไร และพร้อมใจกันติดแฮชแท็กดังกล่าวในวงกว้าง
ทีมข่าวเนชั่นอออนไลน์ นำบทความดีๆ จาก "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ที่ได้รวบรวมความรู้ ความเข้าใจในประเด็นมาฝากกัน โดยอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมค้นหาคำตอบว่าแท้จริงแล้ว ค่าไฟฟ้า ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ว่า ค่า Ft ขึ้นได้อย่างไร ค่าไฟฟ้า มีโครงสร้างแบบไหน และแท้จริงแล้วใครเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ปรับขึ้นหรือลดค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายกันแน่ ?
โครงสร้างค่าไฟฟ้าไทย มีอะไรซ่อนอยู่ ?
ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ระบุว่าโครงสร้างค่าไฟฟ้าในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ใครเป็นคนกำหนด ค่าไฟฟ้า ค่า Ft ?
การพิจารณากำหนด "ค่า Ft" เป็นอำนาจของ กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตั้งแต่ปี 2551
โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าพลังงานและค่าบริการ เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองความถูกต้องของการคำนวณค่า Ft ให้เป็นไปตามสูตรการคำนวณที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ใช้ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาประกาศอนุมัติค่าเอฟทีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกกลุ่ม
ในส่วนของการกำกับดูแล กกพ. จะตรวจสอบข้อมูลการลงทุนและการดำเนินงานที่มีผลต่อการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โดย กกพ. จะพิจารณาครอบคลุมถึงประสิทธิภาพในการบริหารการใช้เชื้อเพลิง การสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า และการประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
รวมทั้ง สมมติฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติทุก 4 เดือน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้า และคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าด้วย
ทำไมต้องขึ้นค่า Ft เป็น 24.77 สตางค์ต่อหน่วย
ซึ่งล่าสุด "กกพ." ประกาศหลังการประชุม เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2565 มีมติให้ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย
โดยให้เหตุผลหลักที่ต้องมีการพิจารณาปรับค่า Ft ครั้งนี้คือ
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 65 เพิ่มขึ้น เท่ากับประมาณ 68,731 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ม.ค. – เม.ย. 65) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้า เท่ากับ 65,325 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.21%
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 65 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิงหลัก 55.11% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจาก ต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 19.46%
และ ลิกไนต์ของ กฟผ. 8.32% เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 8.08% พลังน้ำของ กฟผ. ร้อยละ 2.58 น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.01% น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.19% และอื่นๆ อีก 6.25%
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft เดือน พ.ค. – ส.ค. 65 เปลี่ยนแปลงจากการ ประมาณการในเดือน ม.ค.– เม.ย. 65 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต ไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ม.ค.– เม.ย. 65
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 – 31 ม.ค. 65) เท่ากับ 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าเล็กน้อยจากประมาณการในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 65 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
สำหรับประเด็นร้อนๆ ค่า Ft ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นจริงหรือ !?
ค่า Ft จะมีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงได้ ขึ้นอยู่ที่ราคาและสัดส่วนการใช้พลังงานแต่ละช่วงว่ามีราคาแพงขึ้นหรือไม่
เนื่องจากสำหรับต้นทุนการผลิตไฟฟ้ากว่า 50% เกิดจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ดังนั้นสัดส่วนชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาค่าไฟฟ้า เพราะเชื้อเพลิงแต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกันนั่นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน / กรุงเทพธุรกิจ