กระแสความโกรธแค้นที่ถาโถมเข้าใส่รัสเซียจากการส่งทหารเข้าไปรุกรานยูเครน ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปถึงบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกที่เข้าไปทำธุรกิจในรัสเซีย ทำให้ล่าสุดแมคโดนัลด์ KFC โคคา-โคลา เป๊ปซี่และสตาร์บัคส์ ต้องตัดสินใจปิดธุรกิจหรือสาขาทุกแห่งในรัสเซีย โดยโฆษกโคคา-โคลา แถลงว่า
"หัวใจของเราอยู่ฝ่ายประชาชนที่อดทนต่อผลกระทบที่ไร้สามัญสำนึก จากเหตุการณ์อันน่าเศร้าเหล่านี้ในยูเครน"
"เราจะยังคงจับตาและประเมินตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป"
ส่วนเป๊ปซี่โค อิงค์ แถลงว่าได้ระงับการจำหน่ายเป๊ปซี่-โคลา และน้ำอัดลมแบรนด์อื่นในเครือในรัสเซีย รวมทั้งเซเว่นอัพและมิรินดา ขณะที่แม็คโดนัลด์ที่มีพนักงานมากถึง 62,000 ในรัสเซีย ประกาศปิดสาขาทั้งหมด 850 แห่ง เป็นการชั่วคราว
คริส เคมป์ซินสกี ประธานและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่แมคโดนัลด์ แถลงว่า
"การปิดร้านสาขาในรัสเซียตอนนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่จะยังคงประเมินสถานการณ์และพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า เมื่อใดที่เราจะสามารถกลับมาเปิดร้านในรัสเซียได้อีก"
เขาบอกด้วยว่า
"แมคโดนัลด์กำลังเผชิญปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบด้านการปฏิบัติงานอื่น ๆ และยังคงจับตาสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมอย่างใกล้ชิดต่อไป"
KFC แบรนด์ในเครือบริษัท "Yum! Brands" หนึ่งในบริษัทเจ้าของแบรนด์อาหารที่เป็นที่นิยมและเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ตัดสินใจปิดสาขา 1,000 แห่งในรัสเซีย ตามหลังแมคโดนัลด์ไปติด ๆ โดยระบุว่าจะปิดทำการอย่างไม่มีกำหนด และจะบริจาคผลกำไรจากธุรกิจในรัสเซียให้กับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครนด้วย
ส่วนและสตาร์บัคส์ได้หยุดให้บริการร้านกาแฟทั้งหมด 130 สาขาในรัสเซีย โดยโฆษกแถลงว่ายังคงจับตาดูเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตัดสินใจที่จะระงับกิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์สตาร์บัคส์ทั้งหมด ซึ่งหุ้นส่วนที่ได้รับอนุญาตได้ยินยอมที่จะยุติการดำเนินงานของร้านสาขาทันที และจะยังคงจ่ายค่าจ้างให้พนักงาน 2,000 คนในรัสเซีย ที่พึ่งพาสตาร์บัคส์ในการดำรงชีวิต หลังจากประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะบริจาครายได้จากการขายของทุกสาขาในรัสเซียให้แก่ยูเครน
ส่วน Amazon เว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ ยักษ์ใหญ่ของโลก ประกาศว่าจะบล็อกชาวรัสเซียกับเบลารุสไม่ให้เข้าใช้เว็บไซต์