svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สหรัฐฯ พบภูมิคุ้มกันธรรมชาติ ให้ผลดีกว่าวัคซีน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า กลุ่มประชากรที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อมาก่อน ให้ผลดีกว่าฉีดวัคซีน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า

 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกา ออกมายอมรับว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ (natural immunity) ที่ได้จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 เหนือกว่าภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีน

 

โดยข้อมูลจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกาซึ่งศึกษาในอาสาสมัคร 1.1 ล้านคน จากแคลิฟอร์เนีย 752,781 คน และนิวยอร์ก 355,819 คน ที่เผยแพร่ในวันที่ 28 มกราคม 2022 อาจทำให้ทั่วโลกต้องกลับมาพิจารณานโยบายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster shot) ครั้งใหม่หรือไม่

ข้อมูลจาก CDC สามารถสรุปได้ ดังนี้

1. หากใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย ลดลง 6.2 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 4.5  เท่า (นิวยอร์ก)
  • พบว่าผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนแต่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยลดลง 29 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 14.7  เท่า (นิวยอร์ก)
  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยลดลงถึง 32.5 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 19.8  เท่า (นิวยอร์ก)

2. หากใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อมาก่อนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย เพิ่มขึ้น 3.1 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 1.9  เท่า (นิวยอร์ก)

3. หากใช้ผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อมาก่อนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น 3.6 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 2.8  เท่า (นิวยอร์ก)

4. การเข้ารักษาตัวใน รพ. จากข้อมูลเฉพาะใน แคลิฟอร์เนีย โดยใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยเข้า รพ. ลดลง 19.8 เท่า 
  • พบว่าผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนแต่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยเข้า รพ. ลดลง 55.3 เท่า
  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยเข้า รพ. ลดลงถึง 57.5 เท่า

 

 

การฉีดวัคซีนครบโดส หรือ 2 เข็มมีความจำเป็นยิ่งยวด ลดการเจ็บป่วย ลดการตาย ลดการกลายพันธุ์ ประชากรในโลกทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 ตามเข็มมุ่งขององค์การอนามัยโลก

 

วัคซีนเข็มกระตุ้นควรให้ทุกคนถ้วนหน้า (one size fits all) หรือเลือกให้เฉพาะผู้ที่จะได้ประโยชน์ (Precision medicine)??

 

วัคซีนเข็มกระตุ้นทั่วโลกมีนโยบายฉีดให้กับทุกคนเหมือนกันหมด (One size fits all)  แต่ข้อมูลจาก US CDC ที่ออกมาบ่งชี้ว่า “กลุ่มประชากรที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อมาก่อนหน้า” การฉีดวัคซีนดูจะไม่ก่อประโยชน์ในการช่วยป้องกันการเจ็บป่วย การเข้า รพ. มากนักเมื่อเทียบกับการไม่ฉีด

 

ข้อมูลจาก CDC อาจส่งผลหรือไม่ในการปรับนโยบายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จากฉีดให้กับทุกคนเป็นฉีดให้บางกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ เช่นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป, กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ ) เข้าลักษณะของการแพทย์แม่นยำ (Precision medicine)  

 

ในอนาคต ก่อนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนทั่วไปอาจต้องมีการตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) กันก่อนหรือไม่ ว่าเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาก่อนหรือเปล่า  คงต้องติดตามกันต่อไป

สหรัฐฯ พบภูมิคุ้มกันธรรมชาติ ให้ผลดีกว่าวัคซีน

อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งนี้ของ US CDC เป็นในอาสาสมัคร 1.1 ล้านคน ในช่วงก่อนและระหว่างที่ “เดลตา” กำลังระบาด

 

ดร. เอริกา แพน นักระบาดวิทยา คนสำคัญของ ศุนย์สาธารณสุข แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้กล่าวว่าปัจจุบันโอมิครอนได้เข้ามาแทนที่เดลตาเป็นที่เรียบร้อย และข้อมูลล่าสุดก็ชี้ให้เห็นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยป้องกันการติดเชื้อจากโอมิครอน  ลดการเจ็บป่วย และลดการเสียชีวิตจากโอมิครอนได้อย่างมีนัยสำคัญ