วันที่ 9 ม.ค. 2565 รองโฆษกรัฐบาล ไตรศุลี ไตรสรณกุล บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบถึงข้อกังวลของหลายฝ่ายต่อ กรณีที่กรมสรรพกรได้กำหนดให้ผู้ที่มีกำไรจาการขายสินทรัพย์ดิจิทัลยื่นแบบเสียภาษี ที่เรียกว่า "ภาษีคริปโตเคอเรนซี่" และถูกมองว่า จะสร้างอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดการเงินสมัยใหม่ รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อให้สตาร์ทอัพ "กลุ่มฟินเทค" เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
"รัฐบาลไม่มีนโยบายปิดกั้นการพัฒนาใหม่ๆ ไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมใดรวมถึงกลุ่มฟินเทค เพียงแต่ส่วนใดที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ มีกลุ่มคนเข้าใจในวงจำกัด และจะเกี่ยวข้องกับการนำทรัพย์สินของประชาชนมาลงทุนนั้น รัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาอย่างรอบด้านก่อนให้การสนับสนุน"
รองโฆษกฯ ยกกรณี สตาร์ทอัพกลุ่มเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาระดมทุนในประเทศไทยมาก รัฐบาล ก็มีนโยบายยกเว้นภาษีกองทุนร่วมลงทุน (Venture capital) เพื่อจูงใจให้มีการลงทุน ส่วนการซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่นั้น ยังเน้นการซื้อขายเหรียญเพื่อทำกำไร ขณะที่ความเข้าใจของผู้ลงทุนยังอยู่ในวงจำกัด
กรณีที่มีผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ได้สะท้อน ว่า หลักเกณฑ์การคิดภาษีจากกำไรการขายสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ลงทุนแต่ละประเภทยังไม่มีความชัดเจน นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสรรพกร กระทรวงการคลังดำเนินการชี้แจงให้เกิดความชัดเจน รองโฆษกรัฐบาล ยืนยัน รัฐบาลได้ติดตามการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมาโดยตลอด และนายกฯ มอบหมายกระทรวงการคลัง ให้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และภาคเอกชน ศึกษาความเหมาะสมในเชิงนโยบาย
“รัฐบาลไม่ปฏิเสธการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล นโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี คือ ต้องให้ผู้ลงทุนมีความเข้าใจ รู้เท่าทันในระดับที่มากและกว้างขวางพอ วางเกณฑ์การกำกับที่ดีและมีนโยบายการสนับสนุนด้านต่างๆ รวมถึงเรื่องของภาษีไปพร้อมกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจสูงสุด และท่านก็ได้ฝากความห่วงใยถึงผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทุกคนว่าขอให้ทำความเข้าใจตลาดอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว