ข้อบังคับใหม่ที่ออกโดยสำนักงานความปลอดภัยทางวิชาชีพและสาธารณสุขภายใต้กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี กำหนดว่า ในสถานประกอบการที่มีพนักงานอย่างน้อย 100 คน พนักงานทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสภายในวันที่ 4 ม.ค.2565 มิฉะนั้นพนักงานต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกสัปดาห์ คำสั่งนี้จะมีผลต่อพนักงาน 84.2 ล้านคนในสถานประกอบการเอกชน 1.9 ล้านราย ซึ่ง 31.7 ล้านคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนพนักงานอีก 18.5 ล้านคนได้รับข้อยกเว้นเพราะทำงานที่บ้านหรือนอกสถานที่ตลอดเวลา
ส่วนพนักงานที่ยังไม่ฉีดวัคซีนทั้งหมดต้องสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในร่ม เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.และต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 ทุกสัปดาห์หลังจากวันที่ 4 ม.ค.ปีหน้า ซึ่งหากมีผลตรวจเป็นบวกจะไม่สามารถเข้าสถานประกอบการได้
ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไข จะถูกลงโทษปรับเกือบ 14,000 ดอลลาร์ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า พนักงานจะถูกไล่ออกหรือไม่ หากไม่ฉีดวัคซีนหรือตรวจโควิด-19
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเมื่อเดือน ก.ย.เรื่องแผนบังคับฉีดวัคซีนในภาคธุรกิจเอกชนเพื่อเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และเพื่อให้พนักงานได้กลับเข้าทำงานตามปกติ แต่หลังจากหารือกับผู้ประกอบการแล้ว จึงยอมเลื่อนกรอบเวลาออกไปหลังปีใหม่ เนื่องจากวิตกเรื่องขาดแคลนพนักงานในช่วงเทศการปลายปี
ขณะที่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังทราบคำประกาศมาตรการใหม่นี้ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ไอโอวา และอินเดียนาจากพรรครีพับลิกัน ประกาศจะต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อคัดค้านกฎใหม่นี้ โดยอ้างว่า ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล ก่อนหน้านี้มีอย่างน้อย 19 รัฐยื่นฟ้องใน 3 คดีเพื่อคัดค้านคำสั่งของรัฐบาลกลางที่ให้คู่สัญญาสัมปทานของภาครัฐต้องกำหนดให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกันยังคงมีพนักงานหลายบริษัทเดินขบวนคัดค้านการบังคับฉีดวัคซีน ที่จะทำให้พนักงานตกงานหากไม่ได้ฉีดวัคซีนในช่วงที่ผ่านมา
แต่ฝ่ายรัฐบาล ยืนยันว่า สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 745,000 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่า 70,000 คน เป็นภัยสุขภาพที่อันตรายร้ายแรงต่อพนักงานอย่างเห็นได้ชัด