4 พฤศจิกายน 2564 การตัดสินใจเปิดหน้าสู้ของ “พระมหาไพรวัลย์” ก้าวล่วงสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือเจ้าประคุณสมเด็จธงชัย แห่งวัดไตรมิตรวิทยาราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ประกาศท้าทายจะขอลาสึกถ้าเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ไม่ใช่พระราชปัญญาสุธี หรือเจ้าคุณอุทัย วันนี้ทีมข่าวเนชั่นทีวีมีโอกาสสนทนาธรรมในประเด็นดังกล่าวกับพระเทพปฏิภาณวาที หรือ “เจ้าคุณพิพิธ” แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ให้ข้อคิดมุมมองน่าสนใจอย่างยิ่ง
เจ้าคุณพิพิธ กล่าวว่า หากพระมหาไพรวัลย์ ลาสึก เพราะเจ้าคุณอุทัยไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ก็น่าเสียดาย พุทธศาสนาต้องเสียบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถคนหนึ่งไป เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะการเผยแพร่ที่ไม่ได้ไปในทิศที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควร ไม่อยู่ใน 4 สมณะ คือสมณสัญญา สมณสารูป สมณธรรม และสมณโวหาร การกระทำดังกล่าวไปกระทบกับการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง
เจ้าคุณพิพิธ กล่าวว่า ท่านอาจจะลืมไปว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ท่านทำมันเกิดขึ้น เพราะตัวท่านเองทั้งนั้น พอเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ท่านกลับบอกจะสึก นี่คือการต่อรองโดยการเอาตัวเองเข้าต่อรอง ต้องถามว่าเอาการสึกของตนเองไปต่อรองกับใคร ซึ่งการที่ต่อรองต้องดูด้วยว่าตัวเองมีคุณค่าพอไหม ที่ว่ามีคนดูหรือติดตามเป็นล้านคน อาจจะดูด้วยความตลกก็ได้ ดูด้วยความแปลกใหม่ หรือความบ้าๆ บอๆ ก็ได้ ทำให้คิดไปได้ว่าตัวเองสำคัญ ถ้าประกาศสึกไปคงมีคนมาช่วย แต่บอกไว้เลยไม่มีคนมาช่วยหรอก ในโลกใบนี้ ให้จำไว้ไม่มีใครช่วยได้อย่างแท้จริง เปรียบเหมือนผลไม้ตก ไม่มีใครเขาช่วย หรือเก็บหรอก เพราะเขาคิดว่าผลไม้เสีย
เจ้าคุณพิพิธ กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเรื่องขึ้นท่านก็โทษไปที่ท่านสมเด็จคุณธงชัย ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ความจริงสมเด็จคุณธงชัย ไม่ได้มีอำนาจในการแต่งตั้งด้วยซ้ำ และยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวอะไรเลย ส่วนเรื่องที่จะทำหนังสือถึงสมเด็จธงชัย เพื่อขอขมาท่าน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ท่านเองเป็นคนไปพาดพิงหรือไปว่าท่านก่อนแล้ว แทนที่จะเอาเครื่องขอขมาเข้าไปหาท่าน แต่คุณกลับเล่นกับสื่อ เพื่อเอาสื่อไปบีบท่านให้ท่านแต่งตั้งเจ้าคุณอุทัยเป็นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง วิธีการแบบนี้ไม่ถูกต้อง การกระทำแบบนี้ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายวัดสร้อยทอง ทำร้ายวิธีการเผยแพร่พุทธศาสนา
เจ้าคุณพิพิธ ย้ำว่า ก่อนหน้านี้เคยเตือนไป เจ้าคณะเขต 7 เตือนว่าให้เปลี่ยนพฤติกรรมการเผยแพร่ ความตลกโปกฮาพอได้ สร้างคนให้เกิดปัญญา ละจากความชั่ว แต่ต้องไม่ใช่การมานั่งดูดนม คุยกัน ผลักกัน ซบกัน มันถูกต้องหรือ มันไม่ใช่การเผยแพร่พุทธศาสนา เขาไม่ได้ใช้ความรู้ทางศาสนา หรือบาลีมาเผยแพร่เลย น่าเสียดาย ความดังในสื่อมันแค่ช่วงระยะสั้นๆ ต้องฝากให้คิดเยอะ
ส่วนการที่พระมหาไพรวัลย์ใช้การ “สึก” มาเป็นการต่อรองนั้นเพราะเชื่อมั่นในพลังโซเชียลหรือไม่ เจ้าคุณพิพิธ บอกว่า ข้อแรก เชื่อมั่นในโซเชียล เชื่อมั่นกับใคร ใครเป็นผู้ให้คำรับรอง และต้องดูเราอยู่ในฐานะอะไร
ข้อสอง เราต้องดูว่าตัวเรามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนในวงการพระสงฆ์ และข้อสุดท้าย เราสร้างผลงานให้แก่คณะสงฆ์ หรือพุทธศาสนามากมายมหาศาลหรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้ก็ต้องประมาณตน ถ้าประมาณตนไม่ได้ก็จะคล้ายเป็นสุภาษิตที่ว่า “ตัวเท่าเสาเงาเท่าฝา” มันไม่ได้ และท้ายที่สุดไม่มีใครสนใจ เจ้าคุณพิพิธ เตือนอย่าลืมว่า พระที่สึกทุกองค์มันไร้ค่าทั้งหมดทุกองค์ เพราะที่ชาวบ้านศรัทธา เขาศรัทธาในความเป็นพระ หมดผ้าเหลือง เท่ากับหมดความหมายในสังคม อย่าคิดว่าขาดเราเขาอยู่ไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลสุดท้ายการต่อรองครั้งนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหน พระมหาไพรวัลย์ ต้องลาสิกขาหรือไม่ เจ้าคุณพิพิธ กล่าวว่า จริงๆ ไม่ต้องสึก เพราะไม่มีใครเขาบังคับให้ต้องสึก สมเด็จคุณธงชัยก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ คำพูดตัวเองนั้นแหละจะเป็นข้อผูกมัดตัวเอง ส่วนเจ้าคุณอุทัยจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองหรือไม่ ให้เป็นหน้าที่ของพระชั้นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ดำเนินการเพราะ การแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดอารามหลวงมีหลายขั้นตอน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็สามารถตั้งได้เลย
เจ้าคุณพิพิธ อธิบายว่า ถ้าเป็นวัดราษฎรทั่วไปก่อนเจ้าอาวาสมรณะภาพจะตั้งทายาทไว้คือรองเจ้าอาวาส แต่ถ้าเป็นพระอารามหลวงจะมีการตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งผู้ช่วยก็จะมีหลายรูป รับผิดชอบหลายสาขาในวัด แต่ละรูปก็จะสร้างผลงานจนเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปอื่นในการยอมรับ เมื่อเจ้าอาวาสมรณะภาพ ก็จะตั้งรักษาการเจ้าอาวาส และจะไม่แต่งตั้งเจ้าอาวาสจนกว่าจะมีการเผาเจ้าอาวาสรูปก่อน แต่ปัจจุบัน ถึงยังไม่เผาก็สามารถตั้งเจ้าอาวาสได้เพื่อเซ็นหนังสือรับผิดชอบงานในวัด
โดยกระบวนการคือเมื่อพระในวัดยอมรับได้รับการแต่งตั้งเป็นรักษาการเจ้าอาวาสแล้ว เจ้าคณะกรุงเทพจะต้องนำชื่อขึ้นเสนอเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะภาคเห็นชอบจะส่งต่อเสนอให้กับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง จากนั้นเสนอเข้าสมาคมฯ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการกราบบังคมทูลให้มีพระบรมวินิจฉัยแต่งตั้งได้ ถ้าทรงเห็นชอบก็ได้นับการแต่งตั้ง ถ้าไม่เห็นชอบก็ต้องทำกับใหม่ทั้งกระบวนการดังนั้นจะโทษใครไม่ได้
ส่วนการกระทำของพระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง จะถูกสอบอธิกรณ์ ตามที่ด็อกเตอร์ท่าหนึ่งเสนอหรือไม่นั้น เจ้าคุณพิพิธ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสงฆ์ ให้พระสงฆ์เป็นคนดำเนินการ ด็อกเตอร์ทั้งหลายไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว เพลาๆ กันหน่อย ด็อกเตอร์อย่ารู้ดี ส่วนเรื่องการตั้งสอบวินัย ต้องบอกว่าพระสงฆ์เราไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ไม่ฆ่ากันเอง ถ้าพระรูปนั้นไม่ได้ชั่วเลวร้ายขนาดที่จะต้องจับสึก เพราะเขาจะพูดคุยและให้โอกาสกันอยู่แล้ว
เจ้าคุณพิพิธ ฝากในช่วงท้ายว่า บางสิ่งบางอย่างที่เป็นกระแสสังคมมาก เราต้องมีหลักของเราไม่งั้นกระแสสังคมจะพัดพาเราไป การไปสัมภาษณ์ในรายการที่มีจุดประสงค์ในทางอื่นอย่าไปเลย เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ และสิ่งที่สัมภาษณ์ไปนั้นสิ่งเหล่านี้จะไปอยู่ในโซเชียลตลอดไป ไม่มีทางลบได้ ดังนั้นต้องมีสติ ญาติโยมก็เช่นเดียวกันให้ท้ายก็ต้องมีสติ ส่วนสื่อมวลชนจะวิพากษ์วิจารณ์ก็อย่าไปใส่อะไรเยอะ