สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ระบุในบันทึกช่วยจำ "ลับสุดยอด" ที่ถูกส่งไปตามฐานและสถานีปฏิบัติการทั่วโลกว่า ศูนย์ภารกิจต่อต้านข่าวกรอง ได้วิเคราะห์หลายสิบเคสในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยอมรับว่ามี สายข่าว จำนวนมากเหลือเกิน ที่ถูกสังหารหรือถูกจับกุมคุมขัง ในขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าอิหร่านกับจีน ประหารชีวิตเครือข่ายที่เป็นสายให้สหรัฐฯ หลังสามารถเจาะเข้าไปในระบบคมนาคมสื่อสาร ที่ถูกลำดับชั้นความลับของ CIA ที่เรียกว่า "covcom" ส่วนคนที่รอดชีวิตต้องรีบถอนตัวไปตั้งรกรากที่อื่นเพื่อความปลอดภัย
New York Times ระบุว่าบันทึกช่วยจำได้ระบุจำนวนของ สายข่าว ที่ถูกสังหาร ซึ่งปกติแล้วข้อมูลที่ถูกลำดับชั้นความลับแบบนี้จะไม่ส่งต่อในลักษณะนี้ และยังตำหนิพวก สายลับที่ "ด้อย" ในเรื่องทักษะ ไว้ใจแหล่งข่าวมากเกินไป ประเมินหน่วยข่าวกรองต่างประเทศต่ำเกินไป และ "วางภารกิจไว้เหนือความปลอดภัย" ด้วยการเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และไม่สนใจอย่างเพียงพอต่ออันตรายที่อาจะเกิดขึ้น ขณะที่รัสเซีย จีน อิหร่าน และปากีสถาน ได้ประสบความสำเร็จในการไล่ล่า สายข่าว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และบางเคสก็พบว่าสามารถทำให้พวกเขากลายเป็น "สายลับสองหน้า" ได้อีกด้วย เช่น กรณีอดีต ทหารอากาศหญิง โมนิกา เอลฟรี้ด วิทท์ ที่แปรพักตร์ไปอิหร่าน หรือ อดีต CIA เจอร์รี ชุน ชิงลี ที่ให้ข้อมูลลับแก่จีน นำไปสู่การจับกุมและประหาร สายลับ อย่างน้อย 20 คน
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองในอิหร่านและจีน เชื่อว่าพวกอเมริกันให้ข้อมูลแก่หน่วยงานที่เป็นปรปักษ์ ที่อาจกลายเป็นการเผยตัว สายข่าว หน่วยงานต่อต้านข่าวกรองของศัตรู ยังใช้เทคโนโลยี "utilizing biometric scans" ที่มีทั้งระบบจดจำใบหน้า, AI และเครื่องมือติดตามเจ้าหน้าที่ของ CIA เพื่อค้นหา สายข่าว และช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา CIA ก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับภัยคุกคามของผู้ก่อการร้าย สงครามอัฟกานิสถาน อิรัก และซีเรียแต่การรวบรวมข่าวกรองด้วยวิธีที่ล้าสมัย ก็กลายเป็นภารกิจที่ต้องกลับมาทำ เมื่อความตึงเครียดกับจีนและรัสเซียเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าบทเรียนที่ต้องเร่งเรียนรู้ในตอนนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับตาลีบัน เพราะอาจส่งผลต่อการวางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้ในอนาคต