25 กันยายน 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปว่า จากนี้วัคซีนจะทยอยเข้ามามากเพียงพอ เพื่อเร่งฉีดให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มได้ โดยเฉพาะวัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ที่จัดซื้อมา 30 ล้านโดส จะเริ่มทยอยมาตั้งแต่ สิ้น ก.ย.นี้จนถึงสิ้นปี โดยไฟเซอร์สามารถฉีดให้ลูกหลานอายุ 12 ปีขึ้นไป ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 12-18 ปีในวัยเรียน ซึ่งมีประมาณ 6 ล้านคน ให้พิจารณาให้น้องๆ มารับวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อสามารถไปเรียนหนังสือได้ และทางโรงเรียนจะได้เปิดการเรียนการสอนให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด เราพร้อมฉีดไฟเซอร์ที่จะมาถึงไทยสิ้นเดือนนี้ให้กับอายุ 12 ปีขึ้นไปโดยทันที เพื่อให้ครอบคลุมมากที่สุด
"สธ.ขอยืนยันการฉีดวัคซีนมีผลที่เป็นประโยชน์คุ้มค่ามากกว่าที่ไม่ได้รับ วัคซีนที่นำมาให้ทุกเพศทุกวัย มีความปลอดภัย มาตรฐานสูง ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ในการป้องกันคุกคามจากโรคโควิดได้ ไม่ว่าจะเป็นติดเชื้อแพร่เชื้อ เจ็บป่วยหรือเสียชีวิต การมารับวัคซีนอย่างถ้วนหน้าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความปลอดภัยให้แก่ตนเอง ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า เราได้รับความร่วมมือจากประเทศทั้งหลายที่มีสัมพันธ์อันดี ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน มีการบริจาควัคซีนจำนวนหนึ่งให้ประเทศไทยมาโดยตลอด และมีการสวอปหรือหยิบยืมวัคซีนจากสิงคโปร์และภูฏานที่มีแอสตร้าเซนเนก้าที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เราเจรจานำมาใช้ก่อน เมื่อถึงเวลาก็จะนำวัคซีนกลับไปคืน ซึ่งมีการบันทึกข้อตกลงชัดเจน