นับเป็นเวลา 15 ปีแล้วสำหรับเหตุการณ์การรัฐประหาร 19 กันยา 49 ในการโค่นอำนาจนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ซึ่งคณะรัฐประหารนำโดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก
ย้อนคำประกาศคณะรัฐประหาร !
กลางดึกวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทหารเข้าตรึงกำลังและควบคุมสัญญาณการออกอากาศโทรทัศน์ทุกช่องให้ตัดเข้าโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และขึ้นคำประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงเปิดเพลง “ความฝันอันสูงสุด
คำประกาศของคณะรัฐประหารซึ่งย้ำเหตุผลในการปฏิวัติใจความหลักพุ่งไปที่ปัญหาความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงจนรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ ,การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ามีการส่อทุจริตและการหมิ่นเบื้องสูง
คำประกาศคณะรัฐประหาร
“พี่น้องประชาชนที่เคารพ เนื่องด้วยขณะนี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชากรเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เข้าควบคุมสถานการณ์
ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานค และปริมณฑลไว้ได้แล้วโดยมิมีการขัดขวาง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของ
บ้านเมืองจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนให้อยู่ในความสงบ และขออภัยในความไม่สะดวกไว้ ณ ที่นี้ด้วย
แถลงการณ์ฉบับที่ 1 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ด้วยเป็นที่ปรากฎความแน่ชัดว่า การบริหารราชการแผ่น ดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่าย
ต่างมุ่งหวังเอาชนะ ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มว่านับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ
อย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมืองไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่
ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหา
และอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมินเหม่ต่อการหมินพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็น
ที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง ในหลายภาคส่วนสังคมจะได้พยายามประนีประนอมคลี่คลาย
สถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้ ดังนั้นคณะปฏิรูป
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ
และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องยืดอำนาจการปกครองแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนา
ที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเสียเอง แต่จะได้คืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุขกลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ
รวมทั้งเทิดทูนไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่งของปวงขนชาวไทยทุกคน”
ต่อมาคณะรัฐประหารได้เลือกให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี มาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 24 ของไทย โดยครองอำนาจตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2549-29 ม.ค. 2551 เป็นระยะเวลาเพียง 1ปีกว่า ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน
ซึ่งการรัฐประหารวันที่ 19 กันยา 49 ไม่เพียงแต่เปลี่ยนชีวิตของนาย ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทยที่ขณะนี้ยังไม่สามารถกลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนได้ แต่ยังนับเป็นการรัฐประหารที่หลายได้ให้ความเห็นว่า “ทำเสียของ” จนคำดังกล่าวได้ตามหลอกหลอนพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารจนมาถึงทุกวันนี้