ตำรวจโคราช แถลงจับกุมแก๊งฉ้อโกงแรงงานหลบหนีไปเกาหลี10ปี

6 กันยายน 2564 ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 จังหวัดนครราชสีมา  พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 3 แถลงผลการจับกุมแก๊งฉ้อโกงแรงงาน ซึ่งหลบหนีไปประเทศเกาหลี กว่า 10 ปีมาแล้ว โดยมีพล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รองผู้บัญชาการฯ , พล.ต.ต.พรชัย   นลวชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา , พ.ต.อ.สุริยา นาคแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฯ ,พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผู้กำกับการสืบสวนฯ ,พ.ต.ท.พรเทพ ทุ้ยแป , พ.ต.ท.มณฑล  หงษ์กลาง  รองผู้กำกับการสืบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าว

ซึ่งพฤติการณ์การก่อเหตุ สืบเนื่องจากในห้วงปี 2554 ต่อเนื่องจนถึง ปี 2556 ได้มีเหตุคดีสำคัญเกิดขึ้นและคนร้ายได้ก่อเหตุในลักษณะเป็นขบวนการ โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมทำการหลอกลวงผู้เสียหาย ว่า สามารถจัดหางานเพื่อให้คนงานไปทำงานที่ประเทศเกาหลีได้ ซึ่งคดีนี้ มีผู้เสียหายหลงเชื่อและจ่ายเงินค่าตอบแทนให้จำนวนหลายราย และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้ ในท้องที่เกิดเหตุทั้งหมด 7 สภ. แบ่งเป็น จ.นครราชสีมา 5 สภ.ได้แก่ สภ.จักราช , สภ.ประทาย , สภ.ห้วยแถลง , สภ.เมืองพลับพลา , สภ.ชุมพวง และ ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ 2 สภ. ได้แก่ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ และ สภ.ลำปลายมาศ โดยผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทำงานยังต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน หลอกลวงคนหางานว่าสามารถจัดหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และจากการหลอกลวงดังกล่าว ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ถูกหลอกลวง”

ในขบวนการนี้ มีผู้ร่วมกระทำผิด ด้วยกันทั้งหมด 6 คน ซึ่งผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ถูกจับกุมและดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว ยังคงเหลือผู้ต้องหา 2 สามีภรรยา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในคดีนี้ ยังหลบหนีมานาน กว่า 10 ปี คือ นายสมบุญ ดวงเกตุ และนางบุญ ดวงเกตุ สามีภรรยา จากการตรวจสอบข้อมูล ผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ มีหมายจับคนละ 11 หมายจับ รวม 22 หมายจับ มูลค่าความเสียหายที่หลอกลวงเงินจากผู้เสียหายไป รวม 2,428,000 บาท และเนื่องจากคดีนี้ เป็นคดีสำคัญที่มีลักษณะการก่อเหตุที่เป็นขบวนการ มีเหตุเกิดต่อเนื่องหลายท้องที่ มีผู้เสียหายจำนวนมาก และยังมีมูลค่าความเสียหายกว่า 2.4 ล้านบาท พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผู้กำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เร่งรัดติดตามสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้มาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว

 พ.ต.อ.ถิรเดช ฯ  ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.วิชานนท์ บ่อพิมาย หัวหน้าชุดปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมทีมสืบสวน ดำเนินสืบสวน  จนทราบว่า ในห้วงที่ผู้ต้องหาทั้งสองคนทราบว่า กำลังจะถูกออกหมายจับในคดีดังกล่าว ผู้ต้องหาทั้งสองได้มีการไปทำหนังสือเดินทางไทย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 และ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และได้เดินทางกลับเข้ามายังราชอาณาจักรไทย ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ต่อมาในวันที่ 14 กรกฎาคม 2554ผู้ต้องหาได้เดินทางออกนอกประเทศ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปลายทางที่ประเทศเกาหลี ชุดสืบสวน จึงได้ดำเนินการสืบสวนทางสื่อโซเชียลต่างๆ จนทราบว่า ผู้ต้องหาสองสามีภรรยานี้ ได้ไปทำงานอยู่ประเทศเกาหลี
จึงได้ทำหนังสือ จากกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ถึงกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งาติ แจ้งเรื่องขอความอนุเคราะห์ติดตามผู้ต้องหาหลบหนีต่างแดน จากนั้น ประสานตำรวจของเกาหลี ดำเนินการช่วยตรวจสอบข้อมูล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่สืบสวนตำรวจเกาหลีได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองไว้ได้ ในข้อหา “อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตหมดอายุ” และทางการเกาหลีจะต้องทำการสอบสวนความผิด และดำเนินการผลักดันกลับมายังประเทศไทย ต่อมาจึงได้ทำการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองการต่างประเทศ เพื่อประสานงานในการรับตัว กระทั่งวันที่ 3 กันยายน 2564 ชุดสืบสวนได้รับแจ้งว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ถูกผลักดันจากประเทศเกาหลี และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ด้วยเอกสารการเดินทางชั่วคราว และจะถึงประเทศไทยช่วงกลางคืน  จึงได้ประสานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนครราชสีมา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

โดย - ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ