จากกรณี สพ.ญ.วารีย์ ลิ้มรุ่งสุโข หมอมน อายุ 34 ปี สัตวแพทย์ประจำคลินิกสัตวแพทย์ ทำการช่วยเหลือฉุกเฉินทำคลอดหญิงคนงานก่อสร้างชาวต่างด้าว ที่คลอดลูกก่อนกำหนด จนสามารภช่วยชีวิตได้ และมีผู้นำคลิปเหตุการณ์ไปเผยแพร่ทางโลกโซเชียล จนสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นจำนวนมาก
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่ คลินิกหมอมนรักษาสัตว์ ปากซอยฉิมพลี 6/1 ถนนฉิมพลี แขวงและเขตตลิ่งชัน สพ.ญ.วารีย์ ลิ้มรุ่งสุโข หรือหมอมน สัตวแพทย์สาวในคลิป เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 19 พ.ค. ขณะที่ตนกำลังรักษาสัตว์ให้กับลูกค้าในคลินิก ก็มีคนที่อาศัยอยู่ภายในซอยข้างร้านวิ่งเข้ามาบอกว่ามีหญิงตั้งครรภ์คลอดบุตรอยู่ภายในซอย แต่เด็กไม่ร้อง จึงอยากให้รีบเข้าไปช่วยเหลือ เพราะถ้าไม่ช่วยเด็กอาจตายได้ จึงรีบวิ่งออกจากคลินิกทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าเด็กออกมาแล้วมีสายสะดือติดมาด้วย ขณะเดียวกันถุงน้ำคร่ำถูกแกะออกมาแล้ว แต่เด็กตัวม่วง และไม่มีเสียงร้อง จึงรีบตรวจสอบพบว่าเด็กไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น จึงใช้นิ้วกดหน้าอกอย่างระวังเพื่อเป็นการปั้มหัวใจ ก่อนจะรีบพาเด็กไปที่คลินิกเพื่อทำให้เด็กหายใจ เนื่องจากที่เกิดเหตุไม่มีเครื่องมือและมืดมาก
สพ.ญ.วารีย์ กล่าวอีกว่า เมื่อมาถึงคลินิกก็วางเด็กไว้บนโต๊ะรักษา ก่อนจะใช้สลิงดูดน้ำมูกเด็กทารกที่เพื่อนบ้านให้มา ดูดน้ำคร่ำและเขย่าตัวเพื่อให้น้ำคร่ำที่อาจเป็นสาเหตุให้เด็กไม่หายใจออกมาจากตัว และใช้ผ้าเช็ดน้ำคร่ำตามตัวออกให้หมด พร้อมใช้นิ้วกดหน้าอกเพื่อเป็นการปั้มหัวใจอย่างต่อเนื่อง ขณะนั้นรู้สึกว่าเด็กหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จึงตัดสินใจทำซ้ำต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งเด็กหายใจเองได้และร้องออกมา ท่ามกลางเสียโห่ร้องดีใจของผู้คนในคลินิกที่ช่วยกันลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ
สพ.ญ.วารีย์ กล่าวด้วยว่า ขณะนั้นตนช่วยไม่คิดถึงเหตุผลอะไรทั้งสิ้น โดยคิดว่า เด็กมีโอกาสเกิดมาแล้วก็ควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงขอช่วยให้เต็มที่ เพราะถ้าไม่ช่วยอาจจะเสียใจในภายหลังได้ อย่างไรก็ตามการทำคลอดครั้งนี้ตนใช้ความรู้จากการทำคลอด น้องหมา น้องแมว เนื่องจากการคลอดของสัตว์เมื่อออกมาในช่วงแรกก็จะตัวสีม่วงเช่นกัน จึงใช้วิธีการทำคลอดเช่นเดียวกับที่เคยทำประจำ ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่กู้ชีพมารับไปรักษาต่อที่ รพ.ศิริราช
นอกจากนี้ สพ.ญ.วารีย์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ทราบว่า ปลอดภัยทั้งแม่และลูกก็รู้สึกดีใจ และไม่คิดว่าจะมีคนถ่ายคลิปตอนช่วยชีวิตออกไปเผยแพร่จนเป็นกระแสสังคมขนาดนี้ ขอขอบคุณทุกคำชื่นชมที่จะเป็นกำลังใจให้ตนได้ทำหน้าที่หมอที่ดีต่อไป อย่างไรก็ดีหลังเรียนจบสัตวแพทย์ ก็เป็นหมอรักษาสัตว์มา 10 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ช่วยเหลือคน และอยากฝากว่า หากรู้สึกปวดท้องไม่ควรรอ และควรรีบไปหาหมอให้เร็วที่สุด หรือควรมีเบอร์สายด่วนฉุกเฉินติดไว้เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ด้าน น.ส.สุมลทา พิลึก อายุ 51 ปี คนงานก่อสร้างในจุดเกิดเหตุ กล่าวว่า ตนทำงานที่เดียวกับแม่เด็ก ซึ่งเป็นชาวเมียนมา ไม่ทราบชื่อ โดยมาทำงานที่นี่ได้กับสามีได้เพียง 10 วันเท่านั้น ในวันเกิดเหตุ มีเพื่อนคนงานวิ่งมาตามตนให้ไปช่วยแม่เด็ก เพราะเห็นว่าปวดท้อง ตนก็ตกใจว่าทำไมถึงปวดท้องเร็ว เนื่องจากท้องเพียง 7 เดือนเท่านั้น จึงรีบวิ่งขึ้นไปดู และถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง แม่เด็กบอกว่าปวดท้องมาก พร้อมกับจับบริเวณช่องคลอด พบว่ามีเลือดไหลออกมา จึงได้ประคองแม่เด็กให้มารอหน้าบ้าน ก่อนจะรีบวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ แต่รถแท็กซี่ไม่รับ เพราะเห็นว่าคลอดก่อนกำหนด กลัวว่าเด็กจะเป็นอันตราย จึงได้ให้เบอร์รถพยาบาลมา ตนจึงได้โทรเรียกทันที แต่รถติดมาก ทำให้รถพยาบาลมาถึงช้า และแม่เด็กก็ร้องบอกกับตนว่าปวดท้องมาก ไม่ไหวแล้ว ตนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ จากนั้นก็มีเพื่อนบ้านและหมอมนมาช่วย ตนนี้อาการของแม่และเด็กปลอดภัยแล้ว
ส่วนทาง น.ส.วรารันต์ หุนะปุน อายุ 38 ปี เพื่อนบ้านที่ช่วยตามหมอ กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนบ้านของ แม่เด็ก ในช่วงเกิดเหตุ มีคนวิ่งมาบอกตนว่ามีคนจะคลอดลูก ตนจึงออกไปดู เห็นว่าแม่เด็กร้องด้วยความเจ็บปวด และ รถแท็กซี่ก็ไม่ยอมรับไปส่งโรงพยาบาล ในตอนนั้นสามีของตนจะขับรถไปส่งเอง ขณะเดียวกันตนก็เห็นว่าเด็กออกมาแล้ว อยู่ในถุงน้ำคร่ำ ตนจึงต่อสายคุยกับรถพยาบาลที่กำลังมารับ ซึ่งเขาก็บอกวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน ตนจึงรีบเอามือจิกถุงน้ำคร่ำให้แตก ปรากฎว่าเด็กไม่ร้อง รถพยาบาลก็ยังมาไม่ถึง จึงได้ให้สามีวิ่งไปตาม หมอมน ให้มาช่วยทำคลอด เพราะตนคิดว่า หมอมนเป็นหมอ ถึงแม้จะเป็นสัตวแพทย์ แต่คิดว่าน่าจะช่วยเหลือได้ เมื่อหมอมนมาถึง ก็รีบให้ความช่วยเหลือทันที แม้ในขณะนั้นจะมีคนนำสัตว์มารักษามนคลินิกจำนวนมาก แต่ทุกคนก็ช่วยกันสวดมนต์ขอให้เด็กรอด ในตอนเกิดเหตุ ตนรู้สึกตกใจมากแต่ก็ต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะตนไม่อยากให้เด็กเป็นอะไรไป มาทราบภายหลังว่าเด็กปลอดภัยแล้ว ตนรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสช่วยชีวิตคน และอยากจะไปเยี่ยม