ซาอุดิอาระเบียกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปประเทศ ซึ่งปกครองมายาวนานด้วยระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราช โดยการริเริ่มปฏิรูปประเทศในหลายๆ ด้านได้เริ่มมีขึ้นหลังจากที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงได้รับการวางตัวให้เป็นรัชทายาทพระองค์ใหม่แห่งราชบัลลังก์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
โดยหนึ่งในการปฏิรูปที่สำคัญ คือการปราบปรามการฉ้อโกงของเจ้าชายหลายพระองค์ ซึ่งล้วนมี อำนาจและฐานะการเงินที่มั่งคั่ง โดยผู้ถูกกล่าวที่เป็นราชวงศ์มากถึง 11 คน พร้อมกับเจ้าหน้าที่ รัฐบาลจำนวนไม่น้อย ถูกจับกุมและควบคุมตัวแบบอุกอาจ ในปฏิบัติการจู่โจมในรูปแบบที่ไม่คาด คิดว่าจะมีใครกล้าลงมือกับพระญาติใกล้ชิดของกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจในราชอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งต่อ มาตามด้วยการประกาศยึดทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนมหาศาลถึง 1 แสน 4 หมื่นล้านบาทจากผู้ ถูกกล่าวหา เพื่อส่งเข้าท้องพระคลังของพระราชอาณาจักร
มกุฏราชกุมารหนุ่มวัย 32 ปี ยังได้มีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจและ ศาสนาในประเทศในอีกหลายประเด็น เช่น การอนุญาตให้สตรีขับรถยนต์ จักรยานยนต์และรถ บรรทุกได้หรือการเปลี่ยนแปลงหลักการธุรกิจปิโตรเลียมหลักของประเทศว่า จะต้องหันมาพึ่งพา รายได้จากด้านอื่นๆ เนื่องจากการบริโภคน้ำมันจากตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต โดย อาศัยแผนงานภายใต้โครงการ Saudi Vision 2030 ซึ่งเริ่มมีผลเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และมี เป้าหมายจะทำให้สำเร็จภายในอีก 13 ปีข้างหน้า
และไม่กี่วันก่อนหน้าที่เจ้าชายซัลมานจะขึ้นสู่อำนาจ ซาอุดิอาระเบียก็ทำสิ่งซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมา ก่อนในหมู่ประเทศอาหรับ ด้วยการประกาศตัดสัมพันธ์ทุกด้านกับกาตาร์ ด้วยข้อกล่าวหาว่า กาตาร์ มีส่วนในการสนับสนุนการก่อการร้ายข้ามชาติ เนื่องจากมีความสัมพันธ์บางส่วนกับอิหร่าน ซึ่งเป็นคู่ ปรับตลอดกาลกับซาอุดิอาระเบียและอีก 4 ชาติอาหรับที่ร่วมมือกันในการคว่ำบาตร ซึ่งอยู่บนพื้น ฐานของความแตกต่างของศาสนาอิสลามระหว่างนิกายซุนนี และชีอะฮ์ ที่แนวร่วมฝ่ายซาอุดิอาระ เบียและอิหร่าน ต่างนับถือแยกจากกัน
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกหนึ่งประการคือ การที่ซาอุดิอาระเบียเริ่มยินยอมที่จะแสดงท่าทีในเชิง บวกต่ออิสราเอล ซึ่งถือเป็นคู่ปรับข้ามศาสนาตลอดกาล ระหว่างศาสนาอิสลามและศาสนายิวที่ ชาวอิสราเอลนับถือ โดยการร่วมมือกันต่อต้านอิหร่าน ผ่านการประสานงานลับๆ ผ่านสหรัฐ เนื่อง จากเป็นที่เชื่อกันว่าอิหร่านให้การสนับสนุนด้านเงินทุนและอาวุธให้กับกบฏฝ่ายฮูติ ในสงครามกลางเมืองในเยเมนซึ่งดำเนินมานานกว่า 2 ปีแล้ว นอกเหนือไปจากการที่อิหร่านสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลใน สงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อ ซึ่งมีรัสเซียร่วมหนุนหลังรัฐบาล และสหรัฐเป็นฝ่ายสนับสนุนฝ่ายกบฏ