ดาวโจนส์ทำลายสถิติใหม่ของตัวเองถึง 3 รอบในการซื้อขายเมื่อวันอังคาร แต่ไม่สามารถวิ่งผ่านจุดทดสอบที่ระดับ 20,000 โดยปิดที่สถิติสูงสุดรอบใหม่ที่ 19,974
สำหรับผลกระทบที่มีต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงมีเม็ดเงินทุนไหลออกและแนวโน้มค่าเงินที่อ่อนตัวลง รวมถึงเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วแตะ 36.04 บาทต่อดอลลาร์ช่วงค่พคืนที่ผ่านมา
1. ดาวโจนส์ถูกทดสอบจากตลาดในระหว่างชั่วโมงเทรดเมื่อวานนี้ถึง 3 ครั้งโดยในช่วงสองชั่วโมงแรกระหว่างเวลา 10.00-12.00 น.พุ่งขึ้นสูงที่ 19,982 ก่อนถูกเบรกย่อตัวลงที่ 19,937 จากนั้นขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดครั้งสองที่ 19,981 ก่อนลงมาอยู่ที่ 19,946 ในช่วง 13.30-14.30 น. ในที่สุดก็ไต่ขึ้นมาปิดทำสถิติใหม่ที่ 19,974 เพิ่มขึ้น 91 จุดหรือ 0.46% พร้อมๆกับ S&P 500 และ Nasdaq ล้วนพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ ปิดที่ 2,270 บวก 0.4% และ 5,483 บวก 0.5% ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลงอย่างน้อย 20% ในช่วงเวลาที่ใกล้วันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่
2. ท่ามกลางแรงขายในตลาดบอนด์ทั่วโลกช่วง 4-5 เดือนมานี้ ที่ทำให้เงินไหลออกไปเข้าสู่ตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นของสหรัฐ การไหลออกของกระแสเงินทุนจากยุโรปเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนออกไปลงทุนนอกยุโรปจำนวนมหาศาลอบ่างที่ไม่เคยเกิดดเห็นมาก่อน โดยที่ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนกันยายนปีนี้ มีเม็ดเงินทุนไหลออกจากยุโรปถึง 5.29 แสนล้านยูโร
การไหลออกของเงินทุนดังกล่าวได้ส่งผลต่อเงินยูโรที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเงินยูโรอ่อนค่าลงมาแตะที่ 1.0394 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงในรอบ 13 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ และเป็นการอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบช่วงก่อนวันที่ 8 พฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 1.1059 ดอลลาร์ต่อยูโร ทำให้ตลาดมองไปว่าโอกาสที่เงินยูโรจะร่วงลงไปที่ระดับเสมอภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ที่ 1 ต่อ 1 เท่ากับเป็นการทุบสถิติเงินยูโรดิ่งลงต่ำสุดนับตั้งแต่การเริ่มใช้ระบบสกุลเงินเดียว หรือ Single Currency ของกลุ่มยูโรโซนที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1999
3. หลังจากที่ Dollar Index แข็งค่าพุ่งขึ้นแตะ 103.62 ในวันอังคาร เป็นการแข้งค่าอย่างต่อเนื่องในระยะ 14 ปีได้ส่งผลต่อเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างรวดเร็วมาโดยทะลุระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 36.04 บาทเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา เป็นการอ่อนค่าลงเรื่อยๆ นับจากช่วงที่แข็งค่ามากที่สุดในปีนี้เมื่อสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ระดับ 34.55 บาท
โดยมีการคาดหวังว่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจะช่วยภาวะส่งออกของประเทศ อย่างไรก็ตามการส่งออกจะยังคงเปราะบางจากคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1-2% ในปีนี้และปีหน้า
4. ทางด้านมุมมองของ Morgan Stanley อีกหนึ่งวาณิชธนกิจชื่อดังของสหรัฐ ฟันธงว่าในปีนี้ไม่มีความเป็นไปได้ที่ค่าเงินยูโรจะดิ่งลงไปแตะระดับเสมอภาคเมื่อเทียบเงินดอลลาร์ที่ 1 ต่อ 1 แต่โอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในปี 2017 หากพิจารณาจากปรากฏการณ์และบทเรียนความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในปี 2016
โดยเฉพาะปัญหาความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเลือกตั้งผู้นำรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นกับหลายประเทศ ทั้งในฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ รวมไปถึงผู้นำเยอรมัน ซึ่งแองเกล่า เมอร์เคิล กำลังถูกท้าทายจากปัญหาการก่อการร้ายในประเทศโดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดทีรถบรรทุกพุ่งชนคนเยอรมันในตลาดคริสต์มาสกลางกรุงเบอร์ลินเสียชีวิต 12 คนและบาดเจ็บอีกครึ่งร้อย รวมทั้งปัญหาคนอพยพที่เข้าสู่เยอรมันนับล้านคนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มส่งผลต่อคะแนนนิยมที่ลดลง
นอกจากนี้มีแนวโน้มที่การเลือกตั้งผู้นำรัฐบาลในหลายประเทศของยุโรปจะเป็นการพลิกเกมที่ฝ่ายชาตินิยมจะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลต่ออนาคตการรวมตัวกันของกลุ่มยูโรโซนทั้ง 18 ประเทศ
5. ขณะที่ราคาทองยังเผชิญกับแรงเทขายหนักอย่างต่อเนื่องหลุดลงที่ 1,129 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในทิสทางเดียวกับแรงเทขายบอนด์ทั่วโลก ซึ่งส่งผลบอนด์ยีลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐพุ่งชนจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.58% ในการซื้อขายเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา