โดยมีข้อกล่าวหา ถึงการได้มาของโฉนดที่ดิน และมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ในที่ดิน 5 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 28109 , น.ส.3 ก.เลขที่ 3301 , 3302 และ 3285 ของนายแทน เทือกสุบรรณ ลูกชายนายสุเทพ และ น.ส.3 ก.เลขที่ 1894 ของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และ โฉนดที่ดินเลขที่ 35410 ของ บริษัทชนาพันธุ์ จำกัด ที่มี นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นเป็นกรรมการ
แรกเริ่มเดิมที ชาวบ้านในพื้นที่ ได้ร้องเรียนถึงการบุกรุก ทำถนนเข้าไปในพื้นที่ โดยถูกขอซื้อที่ดินเพื่อรวมเป็นแปลงเดียวกันบนยอดเขาแพง แต่เมื่อไม่ขาย จึงถูกปิดกั้นทางเข้าที่ดิน และบนที่ดินดังกล่าว บนยอดเขาแพง มีการสร้างบ้านพัก ตัดถนนคอนกรีตเข้าถึง ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเรื่องถึงมือพรรคเพื่อไทยและเตรียมซักฟอกนายสุเทพ ทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง ตั้งแต่ คณะกรรมาธิการ การกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ดีเอสไอ กระทั่ง ในที่สุดเรื่องก็ส่งไปยัง ป.ป.ช. และต่อมากรมที่ดิน ได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินบริเวณดังกล่าว แต่ลูกชายนายสุเทพก็เดินหน้าต่อสู้คดี
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของคณะกรรมาธิการฯ และดีเอสไอ ในขณะนั้น พบว่าในบริเวณภูเขาลูกเดียวกัน มีพื้นที่ติดต่อกันของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น ในบริเวณหมู่ที่ 5 ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเชื่อว่าเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกัน และภายหลังปรากฏนิติกรรมการขายที่ดินให้กับ บริษัทชนาพันธุ์ จำกัด ของ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์
คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องจากหน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะกรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้ออกเอกสารสิทธิให้กับกลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้เข้ามาชี้แจง ข้อพิรุธที่มีการตรวจสอบเอกสารของที่ดิน 5 แปลง ตามที่นายสุเทพ เคยชี้แจง พบว่าเป็น "ส.ค.บิน" และ "ส.ค.บวม" ใช้เอกสารของที่ดินแปลงอื่นมาสวมทับ และเนื้อที่เพิ่มขึ้น
โดยจำนวนที่ดินจาก ส.ค.1 พื้นที่ 15 ไร่ เมื่อเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก. เพิ่มเป็น 48-1-97 ไร่ และเมื่อออกโฉนด เพิ่มเป็น 62-1-97 ไร่ โดยหจก.เรืองปัญญาฯ ซึ่งขายที่ดินให้นายแทน เทือกสุบรรณ ได้จดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนเมื่อปี 2539 แต่อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินตั้งแต่ปี 2537 การตรวจสอบรายละเอียด พบว่า โฉนดที่ดินแปลงนี้ ออกจาก น.ส.3 ก. เลขที่ 3301, 3302, 3285 โดย หจก.เรืองปัญญาฯ เป็นผู้ครอบครอง โดย 2 แปลง ในจำนวนนี้ ออกมาจากหลักฐาน ส.ค.1 จำนวน 2 ใบ เลขที่ 85 เนื้อที่ 8 ไร่ และ ส.ค.1 เลขที่ 95 เนื้อที่ 7 ไร่ โดย หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น นำ ส.ค.1 ทั้ง 2 ใบไปออกเป็น น.ส.3 ก. ในปี 2543 กลับมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น จาก 8 ไร่ เพิ่มเป็น 16-0-34 ไร่ และจาก 7 ไร่ เพิ่มเป็น 16-3-97 ไร่
หจก.เรืองปัญญา ฯ ยังนำ น.ส.3 ก. 2 แปลง พร้อมกับ น.ส.3 ก. เลขที่ 3285 เนื้อที่ 15-0-66 ไร่ อีก 1 แปลง ขายต่อให้นายแทน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 จากนั้นนายแทนได้นำไปขอออกเป็นโฉนด วันที่ 20 กันยายน 2548 รวมเป็นผืนเดียวกันทั้งหมด และปรากฏว่า มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 62-1-97 ไร่ โดยเพิ่มจาก น.ส.3 ก.เดิม ถึง 14 ไร่
ประเด็นนี้ จึงกลายเป็นข้อพิรุธสำคัญ ทำให้ถูกตรวจสอบลึกลงไปถึงการออกโดยมิชอบ เพราะจากหลักฐาน ส.ค.ที่นำมาออก น.ส.3 ก. พบว่าตำแหน่งและเนื้อที่ใน ส.ค.1 ไม่ตรงกับการรังวัดออก น.ส.3 ก. แม้นายสุเทพจะพยายามชี้แจงในสภาฯ
ขณะที่ผู้เกี่ยวข้อง ในกระบวนการซื้อขายได้มาของที่ดิน จนตกมาถึงการครอบครองของนายแทน เทือกสุบรรณ คือ "โกกี้" นายพงษ์ชัย ฟ้าทวีพร และ "โกเข็ก" นายสามารถ เรืองศรี สองนักธุรกิจบนเกาะสมุย หุ้นส่วนที่ร่วมก่อตั้ง หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น ซึ่งทั้งคู่สนิทสนมกับนายสุเทพระหว่างนั้น คณะกรรมาธิการการกฏหมายฯ ได้เรียกผู้บริหารกรมที่ดิน เข้าชี้แจง และให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากส่วนกลาง แต่กลับไม่คืบหน้า จนมีมติชี้ว่า มีความพยายามประวิงเวลา และหาทางออกให้กับกลุ่มบุคคลดังกล่าวให้รอดพ้นจากความผิด จึงยื่นเรื่องไปยัง ป.ป.ช. กระทั่งต่อมา กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนที่ดิน ของ บริษัทชนาพันธุ์ จำกัด หรือของนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ และของนายแทน เทือกสุบรรณ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันใช้สิทธิต่อสู้คดี มาถึง 6 ปี
จนในที่สุดศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตัดสิน พิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา นายแทน เทือกสุบรรณ รวมทั้งนายพรชัย ฟ้าทวีพร และนายสามารถ เรืองศรี กลุ่มนายหน้า 5 ปี ข้อหา ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง