นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ พรรคกล้าธรรม หารือสภาผู้แทนราษฎร ถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบวิกฤตสภาพอากาศย่ำแย่ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อทางเดินหายใจของประชาชน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษ PM 2.5 มีหลายปัจจัย ทั้งจากรถยนต์โดยสาร และกระบวนการผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาพื้นที่เพาะปลูกสินค้าทางการเกษตร โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อย จึงส่งผลให้มีการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดต้นทุนการเก็บเกี่ยว ซึ่งตนเองได้ติดตามการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ทราบว่า หลายหน่วยงานได้พยายามเร่งแก้ไขปัญหานี้ เช่น การประกาศกฎกระทรวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องมาตรการการบริหารจัดการป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ภาคการเกษตร และการถ่ายทอดองค์ความรู้การนำเศษวัสดุเหลือใช้ เช่นใบอ้อย มาแปรรูป และส่งเสริมให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่นการอัดใบอ้อย และขายให้โรงงานไฟฟ้า
นายอัครแสนคีรี ยังเปิดเผยด้วยว่า จากที่ตนได้พบปะเกษตรกร ทราบว่า ไม่มีใครอยากเผาแปลงเกษตร ยิ่งในปัจจุบันเกษตรกรสามารถขายใบอ้อย ให้โรงงานได้กว่าตันละ 900 บาท ยิ่งเป็นแรงจูงใจ ที่จะช่วยลดการเผา แต่กระบวนการตัดใบอ้อย และบีบอัดก่อนขายให้โรงไฟฟ้า ยังมีกระบวนการที่ต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมาก และมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรขาดทุนทรัพย์ จึงอยากฝากให้รัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย จัดสรรงบประมาณ เพื่ออุดหนุน ให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการเพาะปลูกอ้อยจำนวนมาก มีงบประมาณ ซื้ออุปกรณ์ เพื่อจัดสรร และบริการให้กับเกษตรกร ขณะที่หน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ควรเร่งประชาสัมพันธ์ ถึงปัญหาของฝุ่นพิษ
นายอัครแสนคีรี ยังย้ำว่า การเผาแปลงเกษตร เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ยังมีปัจจัยอื่น เช่น การใช้รถ ใช้ถนนที่มากเกินไปในตัวเมือง รวมถึงการผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ไม่เช่นนั้น ภาคการเกษตร จะถูกมองว่าเป็นวายร้าย และอาชีพเกษตรกรจะถูกด้อยค่า ทั้งที่เกษตรกรในชนบทเหล่านี้ ก็มีหัวใจเหมือนกัน เป็นคนไทยเหมือนกัน