ปัญหาที่หลักๆ ที่เผชิญก็คือ
1. จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงกว่าการระบาด 2 ระลอกที่ผ่านมา แม้ตัวเลขจะยังห่างไกลจากการระบาดใหญ่ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตทื่คิดเป็นเปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย ก็ยังอยู่ในค่าเฉลึ่ย ไม่สูงกว่าต่างประเทศ (เป็นข้อมูลจากแพทย์) แต่ตัวเลขที่สูงขึ้น ก็สร้างความตื่นตระหนักให้กับประชาชน และถูกนำมาขยายผลทางการเมือง
2. ปัญหาการจัดหาวัคซีน และการได้รับวัคซีนล่าช้า หากไม่เกิดการระบาดระลอก 3 คงไม่มีเสียงก่นด่าสักเท่าไหร่ เพราะความจำเป็นในการฉีดวัคซีนยังน้อย แต่เมื่อเกิดการระบาดใหญ่และขยายไปในวงกว้าง หนำซ้ำเชื้อโควิดก็เป็นเชื้อใหม่ กลายพันธุ์ ทำให้ทุกฝ่ายมองว่าสาเหตุที่สถานการณ์เลวร้าย เพราะไทยได้วัคซีนช้า และฉีดได้่น้อย
3. ข่าวผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนบางยี่ห้อที่ไทยซื้อมาเป็นวัคซีนหลักในช่วงนี้ ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจ พาลจะไม่ฉีดวัคซีนกันเป็นจำนวนมาก และยังโจมตีรัฐบาลว่าผูกขาดการจัดหาวัคซีน ทำให้ไม่มีวัคซีนทางเลือกที่มีคุณภาพดีกว่า
นี่คือปัญหาที่มีมูลเหตุเฉพาะจากเรื่องโควิดเท่านั้น และนำมาสู่กระแสเรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลาออก มีการเปิดแคมเปญในเว็บไซต์ www.change.org และล่าสุดยังมีมือดีไปเปิดแคมเปญเรียกร้องให้ "นายกฯลุงตู่" ลาออกด้วย
ฝ่ายค้านสร้างกระแสรายวัน เรียกร้องให้นายกฯลาออก เปิดทางให้มีการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ดึงมืออาชีพเข้ามาแก้ปัญหา บางพรรคก็เสนอให้ตั้งรัฐบาลชั่วคราว ทำแค่ 2 เรื่อง คือ แก้โควิด กับ แก้รัฐธรรมนูญ (ยังมีกะจิตกะใจจะแก้กติกาประเทศอยู่)
แต่สิ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกัน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น และฝ่ายที่ยังทำใจเชียร์ "ลุงตู่" อยู่ ก็คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นโดยเร็ว นั่นก็คือ
1. หยุดการระบาดระลอก 3 ให้ได้ กดตัวเลขให้ลงมาเหลือหลักร้อยและต่ำร้อยโดยเร็ว
2. ลดอัตราการเสียชีวิตให้ลงมาเหลือหลักหน่วย
3. เร่งเปิดเสรีให้มีการนำเข้าวัคซีนจากหลากหลายยี่ห้อ
นี่คือสิ่งที่สังคมไทยอยากเห็น ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ได้ข้อมูลมาผิดหรือถูก แต่ถ้าเป็นเรื่องความต้องการ ก็คือ 3 อย่างนี้ ปัญหาคือรัฐบาลชุดนี้ทำไม่ได้ ภายใต้โครงสร้างที่เป็นอยู่
ทางออกที่พอจะมี ก็คือ
1. นายกฯลาออก ซึ่งดูแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะนายกฯน่าจะไม่ถอดใจง่ายๆ
2. ปรับ ครม. ทั้งปรับรัฐมนตรีบางตำแหน่ง บางกระทรวง แต่พรรคร่วมรํฐบาลยังเหมือนเดิม เท่าเดิม / กับปรับ ครม.แบบถอดบางพรรคออกจากการร่วมรัฐบาลไป
หรือ 3. การปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อเปลี่ยนเกม ล้างไพ่ ซึ่งแนวทางนี้เริ่มมีบางคนพูดกันแบบกระซิบกระซาบ แต่ "ทีมข่าวข้นคนข่าว" ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง ยืนยันว่ายังไม่มีความเป็นไปได้ทึ่จะเกิดการยึดอำนาจในช่วงนี้ เนื่องจากกองทัพยังมีความเป็นเอกภาพ และนายกฯใช้กลไกราชการในการทำงานแก้ไขปัญหาประเทศอย่างมากอยู่แล้ว บ้านเมืองจึงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ฝ่ายการเมืองทำเละ แล้วฝ่ายข้าราชการหรือกองทัพ เข้ามาแก้ไข เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นตัวแทนกองทัพ และรัฐราชการอยู่แล้ว
แนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะประคอง "รัฐนาวา" ต่อไป ก็คือการปรับ ครม. ซึ่งสูตรแรก ปรับรัฐมนตรีบางตำแหน่ง บางกระทรวง มีข่าวว่านายกฯได้พยายามแล้ว ด้วยการเชิญพรรคภูมิใจไทยไปคุย แต่ไม่เป็นผล
ฉะนั้นหากจะเดินหน้าแนวทางนี้ต่อ ก็มีอีกทางเดียวคือ ปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากการร่วมรัฐบาล / แต่คำถามก็คือ รัฐบาลจะกล้าหรือไม่ เพราะหากพรรคเพื่อไทยไม่เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน หรือบรรดา "งูเห่า" ที่ฝากเลี้ยงไว้ไม่ทำงานช่วงเปิดสภา โอกาสที่รัฐบาลล่ม เสียงไม่พอ ต้องลาออก ก็มีอยู่มากทีเดียว
แต่หลายเสียงก็เสนอให้ "บิ๊กตู่" ใช้ความกล้า ผ่าทางตัน ยอมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วประคองสถานการณ์ฝ่าโควิดไปให้ได้ จัดการปัญหาวัคซีนให้เรียบร้อย จากนั้นก็ชิงยุบสภา เลือกตั้งใหม่ โดยใช้กติกาเดิม ถ้าเดินตามแผนนี้ยังมีโอกาสที่พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคใหม่ที่ไปตั้งรอไว้ อาจจะกลับมาได้อีก
แนวทางนี้ฟังดูดี ดูเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง แต่ปัญหาคือ ในทางปฏิบัติจริงทำได้อย่างที่คิดหรือไม่ เพราะมีข้อจำกัดทางการเมืองดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กำลังเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคมนี้ จากนั้นจะส่งเข้าบรรจุวาะการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งงบจะผ่านได้า รัฐบาลต้องมีเสียงข้างมากเท่านั้น หากงบไม่ผ่าน หรือร่าง พ.ร.บ.งบประมาณถูกคว่ำ รัฐบาลต้องลาออก อยู่ต่อไม่ได้ แม้จะไม่มีบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน แต่หลักสากลของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเป็นแบบนี้ เมื่อฝ่ายบริหารผ่านงบไม่ได้ จะบริหารต่อไปได้อย่างไร
2. ก่อนจะถึงเรื่องงบ รัฐบาลอาจถูกสอยด้วยญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 151 ประกอบ 154 จะเขียนเอาไว้ว่ายื่นอภิปรายได้ปีละครั้ง และปีนี้ยื่นไปแล้ว อภิปรายกันไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แต่ฝ่ายค้านอ้างว่า ปีละครั้งที่เขียนในรัฐธรรมนูญ คือปีสมัยประชุม ไม่ใช่ปีปฏิทิน ซึ่งการเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ เป็นสมัยประชุมสามัญสมัยที่ 1 ประจำปี 2564 จึงถือเป็นการเริ่มปีสมัยประชุมใหม่ ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
หากตีความเป็นแบบนี้ โอกาสที่รัฐบาลจะร่วงตั้งแต่ "ศึกซักฟอก" ย่อมมีสูง เพราะรัฐบาลไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง เนื่องจากเขี่ยพรรคภูมิใจไทยออกไป แม้จำนวนเสียง ส.ส.ของรัฐบาล จะมากกว่าฝ่ายค้านอยู่ 66 กว่าเสียง ใกล้เคียงกับเสียงของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี ส.ส.อยู่ 61 เสียง แต่ในทางการเมืองก็ถือว่าเสี่ยงเกินไป เพราะหลายๆ ตำแหน่งก็ยกมือให้ฝ่ายตัวเองไม่ได้ เช่น ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
นี่คือปัญหาและข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และจากการตรวจสอบล่าสุดกับแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาล ได้รับการยืนยันว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงจุดแตกหักต้องปรับพรรคใดพรรคหนึ่งออกจากการร่วมรัฐบาล