ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีพบผู้สูงอายุจำนวน 13 ราย ในพื้นที่ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ถูกเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ตามคำสั่งของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หลังจากตรวจพบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นได้รับเงินบำนาญพิเศษมาก่อนแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทางเทศบาลตำบลจอหอ จึงได้มีหนังสือเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง ทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย โดยให้ผ่อนชำระรายเดือน ใน 3 เดือนแรก ในอัตราเงินที่สูง บางรายเดือนละ 18,000 บาท
หลังจากนั้นให้ผ่อนชำระในอัตราลดหย่อนลงมาจนครบ ซึ่งมีผู้สูงอายุ จำนวน 9 รายที่ยอมจ่ายเงินคืน ขณะที่อีก 4 ราย ปฏิเสธการจ่ายคืน เนื่องจากเป็นเงินจำนวนมากไม่มีเงินมาจ่ายคืน ทำให้ทางเทศบาลตำบลจอหอ ต้องส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อพิจารณาคดีทางแพ่ง ต่อมานายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด และสำนักงานคลังจังหวัด ทำการสำรวจจำนวนผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยา และช่วยเหลือทางด้านกฎหมายอย่างเร่งด่วน
29 มกราคม 2564 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ว่า ขณะนี้จากการสำรวจในระบบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ทั้ง 32 อำเภอ มีผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเก็บเบี้ยยังชีพคืนทั้งหมดจำนวน 610 ราย ซึ่งตามระเบียบการเรียกเงินคืนนั้นก็มีแนวทางในการผ่อนปรน คือผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน โดยหากผ่อนจ่าย หมดไม่เกิน 1 ปี จะไม่เสียดอกเบี้ย หากเกิน 1 ปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อย 7.5 ต่อปี
เรื่องนี้ทางกรมบัญชีกลางได้ให้ท้องถิ่นทุกพื้นที่ สำรวจตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 ก่อนจะพบผู้สูงได้รับเงินทับซ้อน จึงมีการเรียกเก็บคืน บางรายก็ยอมผ่อนจ่ายตามระเบียบ แต่ก็มีบางรายไม่มีจ่ายคืนจึงทำให้ทางท้องถิ่นจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อเรียกเก็บเงินคืน ส่วนผู้สูงอายุจำนวน 610 ราย ที่ต้องถูกเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลังนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบมียอดจำนวนเงินเท่าไร มีจ่ายคืนแล้วจำนวนกี่ราย อย่างไรก็ตามทางหน่วยงานภาครัฐเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนและพร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบได้รับผลกระทบน้อยที่สุด