นายสิทธิพล เจริญขจรกุล ประธานกลุ่มบริษัทเบสท์กรุ๊ป ที่ปรึกษาประธานคณะอนุกรรมาธิการ "ศึกษาขุดคลองไทย" เปิดเผยว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส.) เล็งเห็นถึงความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาโครงการดังกล่าวจึงนำมาศึกษาอีกครั้งและเร่งผลักดันโดยตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้เพื่อศึกษาเชิงลึกว่าการขุดคลองไทยจะสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างไร โดยพบว่าแนว 9A มีความเหมาะสมมากที่สุดนั้น
"เมื่อปี 2548 มีการศึกษาเพียงขุดคลองให้เรือผ่านเท่านั้น แต่ปัจจุบันเห็นว่าน่าจะใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เต็มที่เพื่อเพิ่มมูลค่าโครงการ สามารถพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องได้ ไม่ใช่เฉพาะเก็บค่าบริการผ่านคลอง อาทิ การเป็นเมืองการค้าโลก ซื้อมา ขายไป เทรดดิ้ง คลังสินค้า อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องมากมาย จุดจอดเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบริการต่างๆ ตลอดจนสถานที่พักผ่อน ท่องเที่ยว เป็นต้น เช่นเมืองใหญ่ๆทั่วโลก โดยแนวเส้นทางผ่านไทยระยะทาง 130-135 กม. แต่จะต้องขุดเข้าไปในทะเลอีกด้านละ 30-50 กม.จะเป็นระยะทางเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามันที่สั้นกว่าไปสิงคโปร์หลายเท่าตัว ถือเป็นทางลัดและทางด่วน จะให้มีบริการอย่างพร้อมสรรพที่ดีและทันสมัยสามารถตอบสนองให้กับเรือทุกขนาดได้ผ่านคลองไทยนี้ด้วยความสะดวกรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเป็นท่าเรือที่ดีที่สุดของโลก"
ทั้งนี้กลุ่มเบสท์กรุ๊ปได้รับเชิญจากประธานอนุกรรมาธิการให้นำเสนอแนวคิดด้านการพัฒนาโครงการจึงได้ออกแบบนำเสนอคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว วัตถุประสงค์เพื่อต้องการมีส่วนร่วมในการนำความคิดเห็นไปประกอบการพัฒนาประเทศไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งและลดการใช้พลังงานของโลกได้อย่างมากมาย
"มีหลายประเทศออกแบบนำเสนอที่หลากหลายแนวคิด โดยเบสท์กรุ๊ปเห็นว่าควรจะพัฒนาให้เป็นคลองที่มีความสวยงามได้อีกด้วย ไม่ใช่ให้แค่เรือผ่านและเก็บค่าผ่านทางเท่านั้น แต่ควรจะพัฒนาให้เป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ ให้เป็นเมืองแห่งศูนย์กลางการเงิน เมืองแห่งอนาคตได้ตลอดแนวคลอง พัฒนาพื้นที่ให้มีทิวทัศน์สวยงาม มีท่าเรือและกิจกรรมทางน้ำให้บริการ เพื่อให้คลองไทยเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะสร้างประโยชน์ต่อประเทศไทย ของอาเซียนและของโลกต่อไป"
ประธานกลุ่มบริษัทเบสท์กรุ๊ป กล่าวอีกว่า ณ จุดนี้จะพบว่าหลายประเทศได้รับประโยชน์เมื่อมีคลองไทยใช้เป็นทางลัดเพื่อการขนส่ง แต่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เต็มๆมากมายในหลากหลายรูปแบบ การย่นระยะทางให้สั้นแม้ไม่มาก แต่มีความปลอดภัย ครบครันด้วยรูปแบบการให้บริการยุคใหม่ที่ดีกว่าจะทำให้สายการเดินเรือขนาดใหญ่มาใช้บริการได้ทั่วโลก อีกทั้งภายในโครงการยังมีการจัดพื้นที่แสดงราชวงศ์ไทย และพระบรมมหาราชวังกว่า 28 ตร.กม. พื้นที่เศรษฐกิจใหม่มากถึง 2,300 ตร.กม. พื้นที่ขนถ่ายสินค้า และกระจายสินค้า เกือบ 500 ตร.กม. พื้นที่สนามบิน และเชื่อมต่อคมนาคมโดยรถไฟความเร็วสูง รถรางแขวนชมวิวและโดยสาร 32 ตร.กม. พื้นที่อยู่อาศัย และแนวเขตธรรมชาติ 2,200 ตร.กม. พื้นที่เกาะกลางคลองกว่า 12 เกาะให้มีเอกลักษ์เมืองใหญ่ 25 ตร.กม. พร้อมฐานทัพเรือและอากาศ แหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีถนนแลนด์บริจด์เชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและทะเลอ่าวไทย ตลอดจนมีถนนรอบชายคลองเชื่อมต่อคมนาคมรองรับไว้ถึง 2 เส้นทางหลัก มีสะพานข้ามคลองและอุโมงค์รอดและเชื่อมเกาะหลายจุด มีท่าเทียบเรือชนิดต่างๆใหญ่และเล็กในคลองและชายฝั่งทะเล แนวคลองกว้าง 1,000 เมตร ลึก 32 เมตร มีพื้นที่ว่างตรงกลางเป็นช่วงๆ โดยสร้างผนังคอนกรีตกั้นดินและดินทรายที่จะเป็นเหตุให้คลองตื้นเขิน พื้นที่หัว-ท้ายคลองกว้าง 10 กม. เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินเรือและเพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ทันสมัย มีการขุดเจาะอุโมงค์เชื่อมใต้ดินเพื่อเป็นเส้นทางรถยนต์และเชื่อมด้วยรถไฟฟ้า พร้อมศูนย์การค้า สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ในพื้นที่ใต้คลองที่เป็นการเชื่อมต่อพื้นที่ใต้ดินกับสองฝั่งคลองให้เป็นผืนเดียวกันได้อย่างลงตัว
ทั้งนี้คอนเซ็ปต์คือเราจะพัฒนาคลองไทยให้ออกมาในรูปแบบที่จะทำให้คนไทยทุกคนได้ประโยชน์เห็นความเป็นไปได้จริง อย่างที่เราอยากให้เป็น คือเป้าหมายเมืองที่ทันสมัยสวยงามในทุกๆด้าน ปลดล็อคข้อกังวลต่างๆไม่ว่าหลายคนมองว่าจะเป็นการแบ่งแยกแผ่นดิน ความไม่คุ้มค่าการลงทุน ไม่เกิดประโยชน์แก่คนไทย มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทำลายแหล่งท่องเที่ยว ระดับสูงต่ำน้ำทะเลทั้ง 2 ด้านต้องสร้างประตูน้ำ ตลอดจนการเวนคืน หรือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการออกแบบจะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทั้งหมด
โดยใต้คลองลึกไปราว 40 เมตรจะออกแบบเพื่อพัฒนาให้เป็นเมืองใหม่ใต้ดิน ทั้งเพื่อการพาณิชย์ อยู่อาศัย มีสถาบันการศึกษาชั้นนำและยังใช้เป็นสถานที่หลบภัยในกรณีเกิดศึกสงครามได้อีกด้วย ข้อสำคัญหากขุดคลองไทยในวันนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาดีขึ้นทันที และยั่งยืนตลอดไป ประชาชนที่มาทำงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจคลองไทยทุกระดับจะมีรายได้ดีกว่าทำงานในพื้นที่กรุงเทพฯ 2 เท่า มีงานรอกว่าล้านตำแหน่ง แรงงานไทยทั่วโลกจะสามารถกลับมาพัฒนาบ้านเกิดได้อีกมากมาย ผู้ที่ถูกเวนคืนจะมีโอกาสเลือกทำงานและอยู่อาศัยในพื้นที่ก่อนใคร ซึ่งช่วงระหว่างการขุดคลอง 3-4 ปีจะมีโอการฝึกอบรมแรงงานให้ตรงตามเป้าหมายไว้ล่วงหน้าเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบแรงงานได้อย่างเต็มที่นั่นคือ มีงานรองรับมากมายไว้ทันทีภายใต้สวัสดิการและรายได้ที่ดีกว่าปัจจุบัน
ทั้งนี้แม้จะมีการพัฒนาให้เป็นเมืองใหม่แต่ก็จะมีที่จัดสรรใหม่ มีน้ำประปา ไฟฟ้าครบวงจรยังออกแบบให้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้เลือกไปอยู่ในที่ที่จัดสรรไว้ได้อย่างตรงตามต้องการ หากต้องการประกอบอาชีพอะไรก็พร้อมจัดให้ อาทิ ชาวประมง ชาวสวน ช่างต่อเรือ แม่บ้าน ฯลฯ อีกทั้งร้านค้าในพื้นที่ผู้ได้รับผลกระทบยังเลือกที่จะมาประกอบอาชีพนี้ได้ เพียงขอให้เราทุกคนช่วยทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ เท่านั้น
ในส่วนรูปแบบการลงทุนของโครงการนี้คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4 ล้านล้านบาทนั้นเชื่อว่าเอกชนคนไทยสามารถระดมทุนได้ เพี่อให้คลองไทยเป็นของคนไทย แม้ว่ายังจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการออกแบบการก่อสร้างให้คลองสวยงาม มั่นคง ป้องกันและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้ได้เมืองใหม่ที่สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของคนทั่วโลกที่ทุกคนอยากเดินทางมาเยี่ยมชม
สำหรับรายละเอียดของการออกแบบนั้น ฝั่งทะเลอันดามันจะไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตใดๆ ได้ออกแบบให้มีกิจกรรมต่างๆเป็นการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อให้สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ส่วนฝั่งอ่าวไทยที่เหมาะต่อการพัฒนาท่าเรือหรือเชิงพาณิชย์ต่างๆ ส่วนพื้นที่บริเวณเกาะกลางคลองออกแบบให้เป็นพื้นที่เศรษกิจใหม่ที่ทันสมัยบวกธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการก่อสร้างถนนไว้ตลอดแนวสองฝั่ง มีระยะทางห่างกันราว 10 กม. เพื่อรักษาแหล่งน้ำธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นซึ่งจะต้องนำไปวิเคราะห์ออกแบบ ทั้งขุดบ่อ ขุดเลคขนาดใหญ่เก็บน้ำไว้ใช้งานหรือใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ทะเลเนื่องจากจะใช้เป็นแหล่งอาหารป้อนให้ผู้คนจำนวนมากในโครงการได้อีกทางหนึ่งด้วย จึงต้องมีการศึกษาพร้อมออกแบบวิธีการรองรับไว้ก่อนตั้งแต่วันนี้
"ล่าสุดได้นำเสนอผลการออกแบบให้พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาขุดคลองไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พิจารณานำเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเห็นชอบและให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินโครงการโดยเร็วต่อไป" ประธานกลุ่มบริษัทเบสท์กรุ๊ป กล่าวในตอนท้าย