svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

07 กันยายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

รัสเซียเจอกับสงครามใหญ่ ๆ มามากมาย แต่ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 200 ปีก่อน รัสเซียก็เคยเจอศึกที่อาจจะถือได้ว่าแสนวิบัติ เพราะแม้ว่าในศึกครั้งนั้น ทหารทั้งสองฝ่ายราว 70,000 นายจะเสียชีวิต แต่ที่บอกว่าศึกครั้งนี้แสนวิบัติ ก็เพราะคนเหล่านี้เสียชีวิตในเวลาแค่ 1 วันเท่านั้น

ศึกครั้งนี้เมื่อกว่า 200 ปีก่อนมีชื่อว่า ศึกบาราดิโน่ หรือ Battle of Borodino โดยบาราดิโน่ ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห่างจากกรุงมอสโกประมาณร้อยกิโลเมตร
เมื่อราว 200 ปีก่อน หลังการขึ้นมามีอำนาจของนโปเลียน มหาอำนาจในยุโรป มีเหลือแค่เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น เช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และในกลุ่มนี้ ที่ถือว่าเป็นสุดยอดก็คือฝรั่งเศส ภายใต้การนำของนโปเลียน  เมื่อเขาทำจนสามารถสงครามพิชิตประเทศต่างๆได้มากมาย ช่วงนั้น นโปเลียนทะเลาะกับอังกฤษ และดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางการค้ากับอังกฤษ ฝรั่งเศสสามารถสั่งให้ประเทศต่าง ๆ ซ้ายหันขวาหันได้เมื่อพูดถึงนโยบายที่มีต่ออังกฤษ เนื่องจากประเทศเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส แต่รัสเซียก็เป็นประเทศมหาอำนาจ ฝรั่งเศสจะเข้ามาบงการให้รัสเซียดำเนินนโยบายตามใจตัวเองไม่ได้ เรื่องนี้จึงสร้างความรำคาญใจให้กับนโปเลียนอย่างมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่นำไปสู่การทำสงครามกับรัสเซียก็คือประเด็นเรื่องโปแลนด์ หลังฝรั่งเศสทำสนธิสัญญาสงบศึกกับออสเตรีย และได้นำดินแดนที่เรียกว่ากาลิเซียตะวันตกของออสเตรียมาผนวกกับ Duchy of Warsaw ซึ่งปัจจุบันก็คือโปแลนด์ ที่ตอนนั้นยังไม่มีสถานะเป็นประเทศ  นโปเลียนเป็นคนตั้ง Duchy of Warsaw ขึ้นมาเองหลังจากยึดดินแดนที่เคยเป็นโปแลนด์ มาจากราชอาณาจักรปรัสเซียในปี 2350
การที่ฝรั่งเศสเอาดินแดนกาลิเซียตะวันตกมาโปะให้โปแลนด์ สร้างความไม่พอใจให้รัสเซีย เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นอันตรายกับผลประโยชน์ของรัสเซีย และเกรงว่าฝรั่งเศส อาจจะอาศัยดินแดนเหล่านี้ในการบุกโจมตีรัสเซียได้  ขณะที่ฝรั่งเศสก็มองว่ารัสเซียอาจจะเป็นอันตรายกับโปแลนด์ จึงหวังที่กำราบเสียก่อน ซึ่งรัสเซียก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์เพื่อรับมือ หากฝรั่งเศสจะบุกเข้ามาจริง ๆ
และในที่สุด วันที่ 24 มิถุนายน 2355 นโปเลียนก็ยังทัพบุกรัสเซียจริงๆ Grande Arme กองทัพฝรั่งเศส บวกกับพันธมิตร ที่ยกมาหวังพิชิตรัสเซียนั้นเกรียงไกร น่าเกรงขามมาก พวกเขามากันมากมายถึง 685,000 นาย เหตุการณ์ครั้งนั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า French invasion of Russia ปี 1812  ส่วนภาษาฝรั่งเศสเรียก Campagne de Russie สำหรับภาษารัสเซียเรียกว่าสงครามปิตุภูมิ ปี 1812 แต่ถ้าคนรัสเซียแปลชื่อนี้เป็นภาษาอังกฤษกลับใช้ชื่อว่าสงครามรักชาติ ปี 1812
ในเบื้องต้น นับตั้งแต่เปิดฉากสงครามด้วยการข้ามแม่น้ำเนมาน พวกเขาปะทะกับกองทัพรัสเซียไม่มาก เพราะแม่ทัพรัสเซียใช้แผนถอยลูกเดียว จนมาเจอของหนักบ้างที่เมืองสมาเลนส์ค ช่วงกลางเดือนสิงหาคม และในวันเดียวกันฝ่ายรัสเซียก็สามารถสกัดไม่ให้ข้าศึกมุ่งหน้าสู่กรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงรัสเซียในสมัยนั้นได้ ดังนั้น เป้าใหญ่ของนโปเลียนจึงเปลี่ยนมาเป็นพิชิตกรุงเก่าอย่างมอสโก ที่คนรัสเซียมากมายถือว่าเป็นเมืองหลวงที่ 2 และที่สำคัญ นโปเลียนรับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในศึกบุกมอสโกเองด้วย
นับตั้งแต่สงครามเริ่ม กองทัพรัสเซียล่าถอยตลอด เพราะสู้พลานุภาพนักรบของนโปเลียนไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาถอย ก็จัดการทำลายทุกอย่างตามเส้นทาง เพื่อไม่ให้ข้าศึกสามารถใช้ประโยชน์ได้ ทั้งอาหาร ที่พักอาศัยและอื่น ๆ แต่การไม่สามารถรับมือข้าศึกได้เลย ทำให้พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ทรงเปลี่ยนตัวแม่ทัพใหญ่ โดยไปดึงแม่ทัพผู้ชราอย่างนายพลมิคาอิล คูตูซอฟ ให้มาบัญชาการศึก
และเมื่อมาคุมทัพ คูตูซอฟ ก็จัดงานช้างให้กับฝรั่งเศสทันที นั่นก็คือศึกบาราดิโน  
แม่ทัพฝีมือดีผู้นี้ เคยเป็นแม่ทัพคนโปรดของพระเจ้าซาร์ ปาเวล ที่ 1 แต่เมื่อพระองค์สวรรคตหลังถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1801 คูตูซอฟก็กลับไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 พระโอรสของพระเจ้าปาเวล ที่ 1 ที่ขึ้นมาครองราชย์ต่อ จนถึงขั้นเกือบตกกระป๋องก็ว่าได้ เมื่อไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่เป็นที่ถูกพระราชหฤทัยพระมหากษัตริย์ไปเสียหมด แต่แม่ทัพรายนี้ก็ยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ต่อไปอย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม
อย่างในปี 1805 ช่วงสงคราม War of the Third Coalition ระหว่างฝรั่งเศสฝ่ายหนึ่งกับ อังกฤษ รัสเซียและออสเตรีย อีกฝ่ายหนึ่ง คูตูซอฟถูกส่งไปรับมือกับนโปเลียนที่รุกเข้ามาที่เวียนนา แต่เขามองว่าการจะเข้าตีกองทหารฝรั่งเศสได้ จะต้องรอให้มีการเสริมกำลังเสียก่อน แต่กลับถูกพระราชาตำหนิว่าขี้ขลาด หรืออย่างในการประชุมแม่ทัพนายกอง เมื่อเขาถามว่าพระองค์จะทรงย้ายกองทหารไปทางใด ก็กลับถูกพระราชาสวนกลับมาว่า " ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ " เขาก็เลยต้องแสร้งทำเป็นนั่งหลับตลอดการประชุม เพราะกลัวว่าหากกองทัพแพ้ พระเจ้าซาร์จะตำหนิเขาว่าวางแผนการรบผิดพลาดอีก
แต่แล้ว รัสเซียก็พ่ายในศึกครั้งนั้นอย่างย่อยยับ เสียทหารไปกว่า 25,000 นาย คูตูซอฟ ต้องเป็นคนรวบรวมกองทัพที่แตกพ่าย หลบหนีการไล่ล่าของข้าศึกออกมาทางฮังการี เพื่อกลับบ้านเพราะตอนนั้นพระราชาคิดอะไรไม่ออก หลังบัญชาการรบจนแพ้ยับเยิน
หลังจากนั้น คูตูซอฟ ก็ถูกส่งไปบัญชาการรบในสงครามกับตุรกีช่วงปี 1806 - 1812 แม้จะมุ่งมั่นอยู่กับสมรภูมิของตัวเอง แต่จิตใจของเขาก็รู้ดีว่า กองทัพที่เขาบัญชาการรบอยู่ จะเป็นกองกำลังสำคัญในการรับมือกับกองทัพฝรั่งเศส เขาก็เลยเร่งทำศึกกับตุรกีเพื่อให้ได้ชัยชนะโดยเร็ว เพื่อจะได้กลับไปทำศึกกับฝรั่งเศส และเขาก็สามารถทำได้เมื่อตุรกียอมแพ้ และจากสามัญชนคนธรรมดา เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น " เจ้าชาย "
ตอนที่นโปเลียนยกทัพบุกรัสเซีย รัสเซียใช้แผนการรบแบบถอย และเลี่ยงที่จะปะทะครั้งใหญ่ ๆ กับฝรั่งเศส เพื่อหวังลวงให้ข้าศึกรุกไล่เข้ามา และเมื่อถึงฤดูหนาว ข้าศึกก็จะล่าถอยไปเอง เพราะไม่มีทั้งที่พักอาศัยหรืออาหารการกิน เนื่องจากทหารรัสเซียเผาเสียราบเรียบแล้วตอนที่ล่าถอย แต่แผนยุทธศาสตร์นี้ไม่เป็นที่พึงใจของทั้่งแม่ทัพนายกอง และทหารเดินเท้า
และเมื่อพระเจ้าซาร์ต้องเลือกแม่ทัพใหญ่คนใหม่ พระองค์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะส่งคนที่พระองค์ไม่โปรดอย่างเจ้าชายคูตูซอฟ ลงมาบัญชาการทัพ จากเหตุผลหลายข้อ เช่นเขาเป็นที่ชื่นชอบของทหาร ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเพราะเขาเป็นคนรัสเซีย ขณะที่แม่ทัพรัสเซียสมัยนั้นส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นคนกล้าหาญ เคร่งศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ( เหมือนคนรัสเซียส่วนมาก ) และใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ของทหารด้วย
ดังนั้น ในขณะที่ทั้งชาติต่างก็ยินดีปรีดาที่คูตูซอฟ จะมาคุมกองทัพรัสเซียในศึกครั้งนี้ ก็มีแต่เพียงพระราชาเท่านั้นที่ไม่ยินดีปรีดาไปด้วย
และหลังเป็นแม่ทัพใหญ่ได้แค่ 2 สัปดาห์ คูตูซอฟ ก็ตัดสินใจจะเปิดศึกใหญ่กับทัพข้าศึกที่มุ่งจะมายึดกรุงเก่าอย่างมอสโก และนั่นก็คือที่มาของศึกบาราดิโน่

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ 7 กันยายน 2355 และมันก็ได้ชื่อว่า เป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจวบจนถึงทุกวันนี้ เพราะในศึกวันเดียวครั้งนั้น มีการส่งทหารเข้าร่วมรบเกือบ 250,000 นาย และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 70,000 นาย โดย 1 ใน 3 ของทหารฝรั่งเศส บาดเจ็บหรือไม่ก็เสียชีวิต ส่วนฝ่ายรัสเซีย คนพวกนี้มีมากถึงครึ่ง
หลังการบุกตะลุมบอนกันอย่างหนักนาน 1 วัน ฝ่ายรัสเซียก็สู้กับกองทหารฝรั่งเศสไม่ไหว แม้พวกเขาไม่ต้องการเสียมอสโก ที่คนรัสเซียถือว่าเป็นเมืองหลวงที่ 2 แต่ในเมื่อเป็นมติในการประชุมของบรรดาแม่ทัพนายกอง ในที่สุดคูตูซอฟ ก็ตัดสินใจถอยทัพ
แม้ว่ารัสเซียจะแพ้ในศึกครั้งนี้ แต่มันกลับไม่มีผลชี้ขาด เพราะแม้ว่าจะเสียทหารไปมากมาย จนต้องล่าถอยไป แต่ต่อมารัสเซียก็ยังส่งทหารหน้าใหม่เข้ามาต่อกรกับข้าศึกต่อ ข้างฝ่ายฝรั่งเศส ที่ตามปกติ จะต้องเดินหน้าไล่ล่าข้าศึกที่เพลี่ยงพล้ำ ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะความเหนื่อยล้า และเพราะว่านโปเลียนไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงขุมกำลังที่เหลืออยู่ของรัสเซีย
จากการล่าถอยของฝ่ายรัสเซีย ทำให้สุดท้ายแล้ว นโปเลียนสามารถยึดกรุงมอสโกได้ดั่งใจหมายในวันที่ 14 กันยายน 2355 แต่มันเป็นมอสโกแบบที่เขาไม่ได้คิดฝันว่าจะเห็น มอสโกวันนั้นไม่ใช่เมือง หากแต่เป็นเมืองร้าง ที่แทบไม่มีผู้คน เขาไม่ได้เดินเข้าเมืองอย่างมีเกียรติ อย่างผู้ชนะ เพราะไม่มีชาวเมืองคนใดออกมาต้อนรับตามประเพณีผู้แพ้ นอกจากนั้น ทั่วมอสโกก็ยังถูกเผาตามคำสั่งของนายกเทศมนตรีเมือง มีการปล่อยอาชญากรออกจากคุกด้วย เพื่อให้ออกมาสร้างปัญหากับพวกฝรั่งเศส
หลังจากที่รออยู่ 5 สัปดาห์ในมอสโก เพื่อให้รัสเซียมายอมแพ้ตามประเพณีหลังจากที่เสียเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีใครมา การเจรจาสันติภาพก็ล้มเหลว และเมื่อเหลือแต่เมืองเปล่า ไม่มีข้าวปลาอาหาร ขณะที่รัสเซียสามารถเสริมกำลังได้ แต่ฝรั่งเศสไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นโปเลียนตระหนักถึงอันตรายที่จะตามมาเมื่อเข้าสู่หน้าหนาว จึงจำต้องสั่งถอยทัพออกจากมอสโกโดยเร็วเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2355

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

และก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อระหว่างทาง ทหารต้องเจอกับสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณของฤดูหนาว พวกเขาไม่มีที่พักและอาหาร เพราะทหารรัสเซียเผามันเสียราบเรียบตอนถอยทัพในคราวแรก นอกจากนั้นก็ยังเจอทหารรัสเซียถือโอกาสไล่ล่าเอาบ้าง ทหารฝรั่งเศสจึงตายเสียมากมาย และกลับไปถึงปรัสเซียแค่หยิบมือ โดยจากที่ยกพลมา 685, 000 นาย เหลือทหารกลับบ้านแค่ 27,000 นายเท่านั้น ข้าศึกเสียกำลังพลไป 380,000 นาย ถูกจับเป็นเชลยอีก 100,000 นายส่วนรัสเซียเสียทหารไป 210,000 นาย สงครามรุกรานครั้งนั้นจบลงเมื่อ 14 ธันวาคม 2355 เมื่อข้าศึกคนสุดท้ายออกไปจากรัสเซีย
ศึกบาราดิโน่เป็นศึกสุดท้ายในแผ่นดินรัสเซียที่ฝรั่งเศสทำการรบในแนวบุก และมันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามของนโปเลียน เพราะมันทำให้กองทัพฝรั่งเศสและพันธมิตรที่เคยเกรียงไกร กลายเป็นกองทัพเล็กๆ  เรื่องนี้ก็เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป เมื่อมันทำให้อำนาจในยุโรปของนโปเลียนเสื่อมถอยลง ชื่อเสียงของนโปเลียนเรื่องการ ไม่เคยแพ้ใคร ต้องสั่นคลอนอย่างหนัก ขณะที่พันธมิตรสำคัญของฝรั่งเศส อย่างปรัสเซียและออสเตรีย ก็เริ่มถอนตัว และเรื่องนี้นำไปสู่สงคราม  War of the Sixth Coalition ระหว่างปี 1812-1814 ที่ 6 ชาติ รวมทั้งรัสเซีย ร่วมกันขับไล่นโปเลียนออกจากอำนาจนวนิยายชื่อดังของลีโอ ตอลสตอย อย่างสงครามและสันติภาพ หัวเรื่องหลักก็เป็นเรื่องสงครามครั้งนี้

7 ก.ย. 2355 ศึกบาราดิโน ตัดสินชะตากรรมมอสโก

logoline