svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

บอแรกซ์! อันตราย ห้ามใส่ในอาหาร

อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันอาจมีสารเคมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ อย่างเนื้อหมูที่ยังใส่สารบอแรกซ์ เพื่อให้สีของเนื้อหมูแดงสวย ไม่เขียวคล้ำ เน่าเสียได้ง่าย ๆ ซึ่งสรรพคุณของสารบอแรกซ์ก็เหมือนจะดี แต่จริง ๆ แล้วกลับมีอันตรายอยู่ไม่น้อย

บอแรกซ์ คือ
          ผงบอแรกซ์เป็นสารอนินทรีย์สังเคราะห์ที่มีชื่อทางเคมีว่าโซเดียมบอเรท (Sodium borate) หรือที่บางคนเรียกว่าน้ำประสานทองแดง ผงกรอบ หรือในภาษาจีนที่เรียกว่าเม่งแซ
          บอแรกซ์มีลักษณะเป็นผงสีขาวขุ่น คล้ายแป้ง หรืออาจมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขุ่น ขนาดเล็กกว่าเม็ดสาคู มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี มีรสชาติหวานเล็กน้อย
 สารบอแรกซ์ ใช้ทำอะไรได้บ้าง          หลายคนน่าจะสงสัยว่าบอแรกซ์ใช้ทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องบอกว่าในทางอุตสาหกรรมเขานิยมใช้ผงบอแรกซ์ในการผลิตแก้ว ภาชนะเคลือบ ชุบโลหะ เพื่อทำให้วัสดุทนทานความร้อนได้ดีขึ้น หรือใช้ในการผสมสูตรผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อราเพื่อการดูแลรักษาเนื้อไม้ และใช้เป็นตัวประสานเชื่อมทอง เป็นต้นบอแรกซ์อันตรายไหม ใช้ผสมอาหารได้หรือเปล่า          จากคุณสมบัติเบื้องต้นของสารบอแรกซ์ก็น่าจะเห็นกันได้ชัดอยู่แล้วว่าเราไม่ควรนำบอแรกซ์มาใส่ในอาหารไม่ว่าจะกรณีใด เนื่องจากบอแรกซ์เป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536) ที่กำหนดให้บอแรกซ์เป็นวัตถุที่ห้ามใช้ในอาหารโดยเด็ดขาด เพราะหากบริโภคสารบอแรกซ์เข้าไปอาจทำให้เกิดพิษสะสมในร่างกาย โดยหากกินผงบอแรกซ์เข้าไปจำนวนมาก อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง          ทั้งนี้สารบอแรกซ์ยังจัดว่าเป็นสารพิษต่อเซลล์ของร่างกาย หากไปสะสมในเซลล์ส่วนไหนของร่างกายมาก ๆ เกิดการดูดซึมเข้าไปยังอวัยวะต่าง ๆ (โดยมากจะสะสมในกรวยไต) ก็อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ อย่างหากมีบอแรกซ์สะสมในกรวยไตมากเกินไป จะทำให้ไตเกิดอาการอักเสบหรือตกอยู่ในภาวะไตพิการได้เลยทีเดียว          อย่างไรก็ตาม แม้เราจะได้รับสารบอแรกซ์เข้าไปในร่างกายไม่มากนัก แต่หากได้รับสารนี้เข้าไปบ่อย ๆ หรือกินอาหารที่ผสมผงบอแรกซ์เป็นประจำ ก็อาจเกิดอันตรายต่อไตได้ และในเด็กที่ได้รับสารบอแรกซ์เกิน 5 กรัม (ในครั้งเดียว) ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ หรือในผู้ใหญ่ที่กินสารนี้เข้าไปเกิน 15 กรัม ก็อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน

จะพบสารบอแรกซ์ได้ในอาหารประเภทไหน
          อาหารที่มีบอแรกซ์ซึ่งพบได้บ่อยก็ได้แก่ ลูกชิ้น ทอดมัน มะม่วงดอง ไส้กรอก หัวไชโป๊ หมูยอ ผักกาดเค็ม เนื้อสัตว์บดสับ ทับทิมกรอบ ลอดช่อง อาหารชนิดแป้งกรุบกรอบ และเนื้อหมูสด ๆ โดยแม่ค้าพ่อค้าก็นิยมใช้ผงบอแรกซ์เพื่อให้อาหารมีความหยุ่นกรอบ คงตัวได้นาน และไม่บูดเสียง่ายนั่นเอง
วิธีตรวจสารบอแรกซ์ในอาหาร
          เนื่องจากยังคงมีการตรวจพบสารบอแรกซ์ปนเปื้อนในอาหารอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นทางกองวิเคราะห์อาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้จัดทำชุดทดสอบการปนเปื้อนสารบอแรกซ์นอกห้องปฏิบัติการขึ้นมา ซึ่งเป็นชุดทดสอบที่ประชาชนสามารถทดสอบได้ด้วยตัวเอง โดยวิธีการทดสอบการปนเปื้อนของสารบอแรกซ์ในอาหารสามารถทำได้ดังนี้
          1. สับตัวอย่างอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าหัวไม้ขีดไฟ
          2. ตักตัวอย่าง 1 ช้อน ใส่ในบิกเกอร์ (อุปกรณ์ชุดทดสอบ) หรือถ้วยแก้ว
          3. เติมน้ำยาทดสอบบอแรกซ์จนตัวอย่างอาหารเปียกชุ่ม แล้วคนให้เข้ากัน                   4. จุ่มกระดาษขมิ้นลงไปในถ้วยทดสอบ รอให้กระดาษเปียกประมาณครึ่งแผ่น                   5. นำกระดาษขมิ้นไปตากแดดนาน 10 นาที
          6. สังเกตสีของกระดาษขมิ้น หากกระดาษมีสีแดง แปลว่ามีบอแรกซ์ปนเปื้อนอยู่

หากร่างกายได้รับบอแรกซ์เข้าไปจะเป็นอย่างไร
          อาการบ่งชี้ในกรณีที่ร่างกายได้รับผงบอแรกซ์ในระดับอันตราย สามารถเกิดได้ 2 กรณี คือ
          1. กรณีอาการเฉียบพลัน
          ผู้ได้รับสารเข้าไปจะมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ หงุดหงิด ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง ผมร่วงผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บในช่องท้อง กระเพาะอาหารและลำไส้ อุจจาระเป็นเลือดในบางครั้ง หรือท้องร่วง
          2. กรณีอาการเรื้อรัง
          ผู้ที่ได้รับสารเข้าไปจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้ง หน้าบวม ตาบวม เยื่อตาอักเสบ ตับหรือไตอักเสบหรือพิการ
          อย่างไรก็ดี อาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ตามอาการที่ผู้ได้รับสารแสดงเท่านั้น และที่น่าเป็นห่วงคือหากมีการสะสมสารบอแรกซ์ในร่างกายอยู่เรื่อย ๆ จนการทำงานของไตผิดปกติไปแล้ว การรักษาก็อาจจะทำได้ยาก หรืออาจต้องเปลี่ยนไตใหม่สถานเดียว
วิธีป้องกันสารบอแรกซ์ เราจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร
          เมื่อความเสี่ยงของการได้รับสารบอแรกซ์เข้าสู่ร่างกายเกิดได้จากการรับประทานอาหารในกลุ่มเสี่ยง ดังนั้นในเบื้องต้นเราก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยวิธีป้องกันสารบอแรกซ์ดังต่อไปนี้   
          - ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีสีแดงผิดปกติ หรือมีสีเนื้อที่ดูผิดไปจากธรรมชาติ
          - ไม่ควรซื้อเนื้อหมูบดสำเร็จรูป ควรซื้อเนื้อหมูเป็นชิ้นแล้วนำมาบดเอง
          - ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะกรอบเด้ง หรืออยู่ได้นานผิดปกติ โดยเฉพาะของทอดที่มีความกรอบยาวนาน เป็นต้น
  ขอบคุณข้อมูล หมอชาวบ้าน-กระทรวงสาธารณสุข