เพิ่งจะรู้ว่าหนุ่มหล่อที่พ่วงตำแหน่ง Mister Supranational Thailand 2021 อย่าง น้องต้นกล้า นิปุณ แก้วเรือน จริงๆแล้วครอบครัวเป็นชาวบางกระเจ้า ถึงว่าหล่อคมหน้าอย่างไทย แล้วในบทความนี้ หนุ่มหล่อบางกระเจ้า จะพาคุณผู้อ่าน เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรม ของครอบครัวใหญ่ของเจ้าตัว ที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น บอกเลยว่าอบอุ่นสุดๆ
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง:
แฟนนางงามแชร์สนั่นวินาที “ต้นกล้า”กระโดดขึ้นเวทีช่วยเป็นล่ามให้ ”แพรว”
"ต้นกล้า นิปุณ" มิสเตอร์ซูปร้าฯ เจ็บหนักระหว่างแข่งฮอกกี้ ก่อนคว้าชัย 2-0
โดย น้องต้นกล้า นิปุณ แก้วเรือน เล่าว่า…..บางกระเจ้า หรือ “กระเพาะหมู” รู้จักกันดีในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นปอดใกล้กรุง โอบล้อมด้วยโค้งน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองลัดโพธิ์จนเป็น "เกาะ" และด้วยความที่บางกระเจ้าเป็นพื้นที่สีเขียวที่ใหญ่และใกล้กรุงเทพฯมากที่สุด ชาวกรุงเทพและนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงนิยมมาขี่จักรยานชมธรรมชาติ ช้อปปิ้งที่ตลาดน้ำ และทำกิจกรรมต่างๆที่นี่
ผมเองอาศัยและเรียนในเมืองแต่จะกลับมาร่วมกิจกรรมชุมชนตลอดทุกวันหยุด ผมพบว่าวิถีชีวิตของบ้านเรายังมีสเน่ห์ที่น่าค้นหาอีกมากมายเมื่อมองจากสายตาของคนที่เป็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนชุมชนในคนเดียวกัน วันนี้ผมมีมุมเล็กๆที่น่ารักของชุมชนบางกระเจ้าที่ทุกคนยังไม่เคยรู้มาฝาก ไปดูกันเลยครับ
วันนี้คือวันทำบุญบ้าน เป็นหนึ่งในวันพิเศษที่ญาติๆทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านหลังนี้ทุกปี ผมตื่นแต่เช้าและรีบนั่งรถมาจากกลางเมือง ไม่เกิน 45 นาทีผมก็มาถึงบ้านสวนหลังน้อยๆหลังหนึ่งใน "เกาะ" บางกระเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
งานแรกของผมคือ “แจกน้ำ” เพราะญาติๆที่มารวมตัวกันกว่า 40 คน ทุกคนล้วนกำลังเตรียม อาหารแบบขะมักขะเม่นสุดๆ ถ้าได้ดื่มน้ำเย็นๆคงจะชื่นใจไม่น้อย หลังจากแจกน้ำและสวัสดีญาติๆครบทุกคนแล้ว ผมก็เริ่มเดิน “หาเหยื่อ” ไปตามซุ้มอาหารต่างๆ เพื่อดูว่าใครมีอะไรให้ช่วยบ้าง
ในงานทำบุญบ้านและทุกๆงานของชุมชน ญาติๆของผมจะมารวมตัวกันทำอาหารเลี้ยงพระและเลี้ยงแขก แต่ละคนก็จะทำอาหารกันคนละอย่าง และมีสูตรอาหารเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เมื่อมาถึงญาติๆก็จะรวมกลุ่มกันตามบริเวณต่างๆของบ้าน และตั้งเป็นซุ้มอาหารขึ้นมา และเมื่อทำเสร็จแล้ว ก็นำมารวมกันเป็นสำรับคาว-หวานที่สวยงาม นิมนต์พระมาฉันเพล ถวายเพล จากนั้นทำพิธีทางศาสนา แล้วจึงจัดกับข้าวคาว-หวานเป็นชุดๆ แจกจ่ายญาติแต่ละบ้านติดไม้ติดมือกลับไป เดี๋ยวผมจะพาทุกคนไปดูอาหารสูตรพิเศษแบบบางกระเจ้าแท้ๆตามแต่ละซุ้มกันครับ
ซุ้มแรกคือขนมหม้อแกง มี "ชวดภา" เป็นหัวหน้าใหญ่และเจ้าของสูตร และยังเป็นเจ้าของตำแหน่งผู้สูงอายุที่สุดอีกด้วย หม้อแกงที่นี่ชวดภาทำอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน และที่สำคัญคือต้องอบด้วยกาบมะพร้าวถึงจะมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ตามต้นตำรับหม้อแกงบางกระเจ้า ซึ่งต้องแอบกระซิบว่าสูตรลับนี้มีแค่ชวดภาคนเดียวที่รู้นะครับ
ต่อมาเป็นซุ้มขนมไข่ มีทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นไข่แดงและน้ำเชื่อม ขนมที่ทำสนุกที่สุดคือทองหยอดซึ่งผมได้ฝึกหยอดตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากตั้งกระทะต้มน้ำเชื่อมให้เดือด นำไข่แดงมาผสมกับแป้งในขันแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นใช้ 4-5 นิ้ว “จีบ” และ “จก” ลงไปในขัน แล้ว “หยอด” น้ำแป้งด้วยลีลาการสะบัดนิ้วแบบเฉพาะตัว ลงไปในน้ำเชื่อมเดือดๆ แรกเริ่มที่ผมหยอด ทองหยอดของผมก็จะออกมาเป็นเส้นยาวๆ ยายๆเขาก็จะพากันเรียกว่า “ลูกอ๊อด” ต้องฝึกอยู่นานจนกว่าจะหยอดให้กลมสวยได้ นานจนใช้น้ำแป้งเกือบหมดเลยทีเดียว
เดินเข้ามาที่ใต้ถุนบ้าน ผมเจอน้องฟ้าใสกำลังชงกาแฟให้คุณตาฝรั่ง ทั้งสองคนคุยภาษาอังกฤษกันปร๋อเลยทีเดียว เจ้าฟ้าใสเป็นเด็ก 7 ขวบตัวน้อยที่เก่งและชอบช่วยเหลือมาก ฟ้าใสจะเดินถามทุกคนทั้งงานว่ารับกาแฟหรือโอวัลติน แล้วก็จะเดินไปชงมาเสิร์ฟให้อย่างเเข็งขัน เรียกได้ว่าทำให้ยายๆตาๆหายเหนื่อยได้ดีทีเดียว
มาที่อาหารคาวกันบ้าง ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ควมคุมการผลิตโดยยายอู๊ด แม่ครัวอาหารคาวมาก ฝีมือ ที่จะเป็นคนคอยปรุงอาหารทุกหม้อด้วยตัวเอง และมีตาๆยายๆอีกกว่าสิบคนคอยช่วยกัน ถึงจะทำแกงหม้อใหญ่ แต่ก็ปรุงได้อร่อยเหมือนกับทำแยกเป็นหม้อเล็กๆเลยทีเดียว
เมนูไฮไลท์ของที่นี่ซึ่งทุกคนจะมารอทานเป็นประจำทุกปีคือ ขนมจีนน้ำพริก เป็นสูตรเฉพาะของบางกระเจ้า ปรุงแบบเน้นๆด้วยสมุนไพรสดที่ขุดและเก็บมาจากท้องร่องสวน รับรองได้เลยว่านอกจากอร่อยแล้วยังได้ประโยชน์จากสมุนไพรไทยแบบเต็มๆ
ส่วนนี่คือเมนูพิเศษที่เพิ่งทำปีนี้เป็นปีแรก เนื่องจากมีเด็กคนหนึ่งเอาแต่พูดว่าอยากกินไก่ทอด เด็กคนนั้นก็คือผมเอง ยายอุ่ม (คุณยายของต้นกล้า)จึงได้เนรมิตให้มีปีกไก่ทอดกรอบๆอยู่ในสำรับพิธีด้วยเลย
ขนมไทยที่ไม่เพียงแต่เป็นเอกลักษณ์ของบางกระเจ้า แต่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านหลังนี้เลยก็คือ "ขนมหยกมณี" ซึ่งทุกวันนี้หาทานได้ยากมาก “ยายอุ่ม” คุณยายของผมเอง คือผู้ที่สืบทอดสูตรขนมนี้มาจากรุ่นก่อนๆ คุณยายทำด้วยวิธีการที่พิถีพิถัน ใช้วัตถุดิบและอุปกรณ์แบบดั้งเดิมทั้งหมด เช่นการกวนส่วนผสมเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมงในกระทะทองเหลืองโดยใช้เตาถ่าน เมื่อได้เนื้อหยกมณีแล้วก็นำไปคลุกกับมะพร้าว เมื่อทำทุกครั้งก็จะหมดเกลี้ยงทุกครั้งไป เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจริงๆ
ขนมอีกชนิดที่หมดเสมอก็คือ “ขนมต้ม” ชื่อนี้อาจจะฟังดูธรรมดา แต่บอกเลยว่าขนมต้มของที่นี่นั้นอร่อยไม่เหมือนใครแน่นอน เพราะใช้วิธีการอบควันเทียนแบบพิเศษ และอีกเคล็ดลับสำคัญของขนมทั้งสองชนิดข้างต้นก็คือ เราจะใช้มะพร้าวจากสวนหลังบ้านที่นี่ในการทำขนมเท่านั้นครับ
เมื่อทำอาหารทุกอย่างเสร็จสรรพทั้งคาวหวาน สาวๆก็จะมาช่วยกันจัดให้เป็นสำรับสวยงาม และเหล่าชายฉกรรจ์แห่งบ้านสวนบางกระเจ้าทั้งรุ่นพ่อ รุ่นปู่ รุ่นลูก ไปจนรุ่นหลาน ก็จะมาช่วยกันยกไปเพื่อประกอบพิธีตามที่ต่างๆ ได้แก่ ศาลพระภูมิหน้าบ้าน ศาลพระภูมิใต้ต้นมะขาม ศาลตายายในสวน โต๊ะพระพุทธ โต๊ะพระมหากษัตริย์ และโต๊ะบรรพบุรุษ โดยมี “ยายศรี” ผู้อาวุโสที่สุดที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ เป็นผู้นำในการทำพิธี และในปีล่าสุดก็ได้มีการเชิญพราหมณ์มาช่วยพระกอบพิธีด้วย
โต๊ะบรรพบุรุษ โดยต้นตระกูลของผมสืบย้อนไปได้ถึงรุ่นเชียด ก็คือ “เชียดสำริด” (รูปที่ 4 จากซ้ายมือ)
หลังจากไหว้ศาลเสร็จหนุ่มๆก็จะขับรถไปนิมนต์พระสงฆ์มาจากวัดบางกระเจ้ากลาง เพื่อมาฉันเพลและประกอบพิธีทางศาสนาให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัยโดยทั่วกัน พระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากวัดเราก็สนิทกันเหมือนเป็นญาติพี่น้อง ซึ่งบางคนก็เป็นญาติเราจริงๆ นี่คงเป็นข้อดีของ การใช้ชีวิตเป็นครอบครัวขยายแบบไทยสมัยก่อน
เมื่อถวายสังฆทาน กรวดน้ำและพรมน้ำมนต์จนเสร็จสิ้นแล้ว หนุ่มๆก็จะนิมนต์พระสงฆ์กลับไปยังวัดบางกระเจ้ากลาง และเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีทำบุญบ้านในปีนี้ ญาติๆทุกคนก็จะมาสังสรรค์และพูดคุยกันตามอัธยาศัย เมื่อเวลาผ่านไปจนใกล้เย็นเราก็จะช่วยกันแบ่งอาหารทั้งคาวหวานเป็นชุดๆ และมอบให้ญาติทุกคนนำติดไม้ติดมือกลับบ้านไป ซึ่งในความจริงแล้วกับข้าวที่ได้กลับบ้านไปนั้นกินได้เป็นสัปดาห์เลยทีเดียว
ญาติๆช่วยกันแบ่งอาหารออกเป็นชุดๆ ตรงกลางก็คือคุณแม่ของผมเอง ซึ่งแน่นอนว่าการมารวมตัวกันทำอาหารและจัดกิจกรรมแบบนี้ไม่ได้มีแค่วันทำบุญบ้านอย่างเดียวเช่นในวันสงกรานต์ของทุกปี ไม่ว่าใครจะไปเติบโตหรือทำงานอยู่ที่ไหน พวกเราก็จะกลับมารวมตัวกันที่บ้านสวนบางกระเจ้าแห่งนี้ เพื่อประกอบพิธีบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ
ซึ่งชื่อของบรรพบุรุษที่ผมจำได้ขึ้นใจที่สุด ก็คือ "ชวดพร้อม" หรือที่คนในชุมชนจะเรียกว่า “ยายพร้อม” นั่นเอง ซึ่งอันที่จริงแล้วบ้านสวนบางหลังนี้ก็ถูกเรียกกันจนติดปากในชุม ชนว่า “บ้านยายพร้อม”เช่นกัน เมื่อเรารวมตัวกันได้แล้วเราก็จะไปทำพิธีที่วัดบางกระเจ้ากลาง ที่ซุ้มประตูทางเข้าโบสถ์ของวัดซึ่งอัฐิของบรรพบุรุษตระกูลเราบรรจุอยู่ เสร็จพิธีแล้วเราก็กลับมารับประทานอาหารที่บ้านสวน เมื่อใกล้ค่ำก็แยกย้ายกันกลับไปตามที่พักอาศัยของแต่ละครอบครัว
จะเห็นได้ว่าบางกระเจ้าและอีกหลายชุมชนในประเทศไทยที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้นั้นมีเสน่ห์ที่น่าค้นหามากมาย และบางครั้งเสน่ห์ที่ล้ำลึกที่สุดก็คือวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นดินแห่งนั้นและรักษาทั้งพื้นดินและวิถีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน ผมในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ได้สัมผัสเศษเสี้ยวของวิถีชีวิตแบบคนรุ่นเก่าจึงอยากนำเรื่องราวดีๆแบบนี้มาถ่ายทอดให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
ชุมชนบางกระเจ้ายังมีเสน่ห์ในอีกหลายแง่มุมที่น่าค้นหา รวมถึงมีอาหารเด็ดๆอีกมากมาย เดี๋ยวรอบหน้าถ้ามีโอกาสผมจะมาเล่าให้ทุกคนฟังนะครับ