svasdssvasds
เนชั่นทีวี

lifestyle

11 อัลบั้ม 11 เรื่องราว นี่แหละการเติบโตของ Taylor Swift

นอกจากรางวัลที่ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ได้รับจากงาน Grammy Awards 2024 อีกหนึ่งสิ่งที่เซอร์ไพรส์แฟนคลับของเธอมากที่สุดคือ การประกาศอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า ‘The Tortured Poet Department’ ซึ่งถือเป็นอัลบั้มชุดที่ 11 ต่อจากอัลบั้ม ‘Midnight’ ที่เธอปล่อยมาเมื่อปลายปี 2022

วันนี้ NationSTORY อยากพาทุกคนย้อนเส้นทางการเติบโตและตัวตนของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผ่าน 11 อัลบั้ม 11 เรื่องราวที่ถูกซ่อนเอาไว้ในแต่ละอัลบั้มของเธอ

 

1. Taylor Swift (2006) กับจุดเริ่มต้นการเป็นศิลปิน

Taylor Swift (2006)

เทย์เลอร์อยากเดินทางบนเส้นทางดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มเขียนและแต่งเพลงตั้งแต่ตอนที่เธออายุ 14 ทว่าเส้นทางศิลปินของเธอเริ่มต้นจริงๆ เมื่อเธออายุ 15 ปี เธอได้เซ็นสัญญากับ Big Machine Records ต่อมาในปี 2006 เธอได้ออกอัลบั้มเดบิวต์และนำชื่อของเธอมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม ‘Taylor Swift’ ซึ่ง ณ ขณะนั้นเธออายุเพียงแค่ 16 ปี

เทย์เลอร์ตั้งใจเขียนและแต่งเพลงทั้งหมดในอัลบั้มเดบิวต์ด้วยตัวเอง โดยเธอตั้งใจให้อัลบั้มนี้ของเธอเป็นเหมือนไดอารี่เรื่องราวช่วงวัยรุ่นของเธอ ที่บันทึกทั้งเรื่องราวความรัก ความหวาดกลัว รวมถึงเรื่องทุกข์ใจ เทย์เลอร์เขียนเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ขึ้นมาตอนที่พึ่งเข้าเรียนปีแรกของโรงมัธยมปลาย ทำให้ ‘Taylor Swift’ ถือเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงวัยรุ่นของเธอได้ดีที่สุด 
 

อย่าง Tim McGraw หนึ่งในเพลงของอัลบั้มนี้ เธอตั้งใจแต่งขึ้นมาเพื่อบอกเล่าถึงความเศร้าจากการเลิกรากันระหว่างเธอและแฟนหนุ่มรุ่นพี่ ที่เธอรู้อยู่แล้วว่าเมื่อแฟนหนุ่มของเธอเข้ามหาลัย ก็ต้องเลิกรากัน นั่นทำให้เธอนึกถึงหลายสิ่งที่ทำให้เธอคิดถึงเขา และสิ่งแรกที่เธอนึกถึงกลับเป็น ‘Tim McGraw’ ศิลปินคันทรีคนโปรดของเธอ

อัลบั้มเดบิวต์ของเทย์เลอร์นับเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกสู่เส้นทางศิลปินอย่างแท้จริง เธอเริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น และด้วยความสามารถทางดนตรีที่มีนั้นก็ทำให้อัลบั้ม Taylor Swift ได้เข้าชิง Academy of Country Music Awards 2008 ในสาขาอัลบั้มแห่งปี ถึงแม้ว่าจะพลาดรางวัลดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย แต่นี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องคันทรีสาวที่เดินขึ้นเวทีมาพร้อมกับสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ และกีตาร์คู่ใจของเธอ

💚เพลงจากอัลบั้ม Taylor Swift ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Tim McGraw 
- Picture To Burn 
- Teardrops On My Guitar 
- Should've Said No 
- Our Song
 

2. Fearless (2008) เพราะความไม่กลัวเลยทำให้เธอประสบความสำเร็จ

Fearless (2008)

มาถึงอัลบั้มที่ 2 ของเทย์เลอร์ ‘Fearless’ ในอัลบั้มนี้เธอยังคงกลิ่นอายความเป็นวัยรุ่นที่ผสานกับประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น เนื้อหาเพลงส่วนใหญ่ยังคงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเริ่มต้นความสัมพันธ์และการเลิกราครั้งใหม่ โดยมีชื่อ Fearless เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงการไม่กลัวต่อความเปลี่ยนแปลง การไม่กลัวที่จะตกหลุมรักใครสักคนอย่างบ้าคลั่ง ตลอดจนการไม่กลัวที่จะต้องบอกลาคนที่ทำร้ายจิตใจเรา เพราะสำหรับเทย์เลอร์แล้ว Fearless ไม่ใช่แค่การไร้ซึ่งความกลัวใดใด เหมือนกับที่เธอแต่งเพลง ‘Love Story’ ขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นเชื่อมั่นในความรักมากแค่ไหน และไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง

อีกทั้ง Fearless ถือเป็นอัลบั้มที่เป็นประตูสู่ความสำเร็จแรกในเส้นทางดนตรีของเทย์เลอร์เลยก็ว่าได้ อัลบั้มนี้พาเธอคว้ารางวัลมาแล้วมากมาย หนึ่งในนั้นคือ American Music Awards ในสาขา Favorite Country Album และ รางวัล Grammy Awards แรกของเธอในสาขา Best Country Album และ Album of the Year นอกจากนี้เธอยังได้เริ่มทัวร์คอนเสิร์ต World Tour ครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า ‘The Fearless Tour’ ซึ่งมีทั้งเพลงจากอัลบั้มนี้และอัลบั้มก่อนหน้า    

แม้ว่าอัลบั้มจะขึ้นชื่อว่าเป็นอัลบั้มคันทรี ทว่า Fearless กลับเป็นก้าวแรกที่ชัดเจนที่สุดของเทย์เลอร์ในการเข้าสู่เส้นทางเพลงป๊อปครอสโอเวอร์ (pop crossover) เนื่องจากเธอเริ่มที่จะมีแฟนคลับเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญเธอยังมีแฟนคลับจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากการที่เธอได้ไปเล่นคอนเสิร์ตนอกสหรัฐอเมริกาด้วย

💛เพลงจากอัลบั้ม Fearless ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Fearless 
- Love Story 
- White Horse 
- You Belong With Me 
- Forever & Always 

 

3. Speak Now (2010) กับเดือนธันวาคมที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้

Speak Now (2010)

‘Speak Now’ เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่เทย์เลอร์เขียนเพลงขึ้นมาเองทั้งหมด และเป็นอีกครั้งที่เธอได้ทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญที่เธอได้เรียนรู้จากอัลบั้มนี้คือ เธอเข้าใจความรู้สึกและตัวตนของเธอมากขึ้นผ่านการได้เขียนเพลงเหล่านี้ออกมา กลายเป็นว่าดนตรีคือสิ่งที่ช่วยเธอมากที่สุดในการจะก้าวข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต โดยในครั้งนี้เธอได้เริ่มเข้าสู่ความเป็นป๊อปมากขึ้น แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นคันทรี ผ่านสำเนียงการร้องของเธอ

อัลบั้มนี้ผสมผสานความสนุกสนานและความเศร้าออกมาได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่มีเนื้อหาเพลงที่หลากหลายมากที่สุดของเทย์เลอร์ อย่าง ‘Sparks Fly’ หรือ ‘Mine’ ที่นำเสนอเรื่องราวการคลั่งรักใครสักคน ‘Mean’ เพลงตอบกลับเหล่านักวิจารณ์มากมายที่เคยวิจารณ์เธอ ที่สำคัญเพลงนี้ยังพาเธอคว้ารางวัล Grammy Awards ถึงสองสาขาคือ Best Country Solo Performance และ  Best Country Song นอกจากนี้ยังมีเพลง ‘Last Kiss’ และ ‘Dear John’ เพลงชาติสำหรับคนอกหักด้วย

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ Speak Now เป็นอัลบั้มที่แตกต่างออกมาจากสองอัลบั้มก่อนหน้าอย่างชัดเจนคือเพลง ‘Back To December’ ที่ได้บรรยายถึงความสัมพันธ์เก่ากับการเลิกราที่เธอยังคงคิดถึง ตลอดจนเป็นเพลงแรกที่เธอกล่าวคำขอโทษต่อความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงในครั้งนี้ และที่สำคัญเพลงนี้ยังเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักเทย์เลอร์มากขึ้นด้วย โดยสามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 6 บน Billboard Hot 100 ของสหรัฐอเมริกา

💜เพลงจากอัลบั้ม Speak Now ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Mine 
- Sparks Fly 
- Back To December 
- Dear John
- Enchanted

 

4. Red (2012) สีแดงแห่งการเปลี่ยนผ่าน

Red (2012)

หากทุกคนได้ฟังเพลงของเทย์เลอร์จากหลายอัลบั้มที่ผ่านมา ก็อาจจะมีบางเพลงที่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกว่ามีความเป็นป๊อปค่อนข้างสูง จนหลายคนเริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวเพลงคันทรีสู่เพลงป๊อปอย่างช้าๆ ‘Red’ จึงเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านนั้น โดยมีเพลงไตเติล (title) ของอัลบั้มที่มีความป๊อปมากขึ้น อย่างเพลง ‘Red’, ‘22’, หรือ ‘I Knew You Were Trouble’ ที่เริ่มมีความเป็นป๊อปร็อคอย่างเห็นได้ชัด

Red เป็นอัลบั้มที่เทย์เลอร์ได้ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกที่เธอต้องเจอในความสัมพันธ์ที่สุดจะซับซ้อนและอลหม่านตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ทั้งความสับสน ความบ้าคลั่ง ความรักอันแรงกล้า ตลอดจนความเป็นพิษในความสัมพันธ์ ที่ตัวเธอมองว่าอารมณ์เหล่านี้ของเธอล้วนเป็นสีแดง

ในครั้งนี้เทย์เลอร์ไม่ได้พูดถึงความรักแบบมาๆ ไปๆ หรือความโกรธที่มีต่ออดีตความสัมพันธ์อย่างที่ผ่านมา แต่อัลบั้มนี้เธอบรรยายถึงความเสียใจที่มีต่อความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่กลับถูกโชคชะตาทำให้เรื่องราวเหล่านี้ต้องจบลง

❤️เพลงจากอัลบั้ม Red ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Red 
- I Knew You Were Trouble
- All To Well 
- We Are Never Ever Getting Back Together 
- Everything Has Changed (feat. Ed Sheeran)

 

5. 1989 (2014) ตัวตนที่เธอมองเห็นอย่างแท้จริง

1989 (2014)

หากอัลบั้ม Red คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน '1989’ ก็คืออัลบั้มที่เทย์เลอร์ได้เปลี่ยนจากศิลปินคันทรีมาสู่ศิลปินป๊อปอย่างเต็มตัว โดยเทย์เลอร์ได้ตั้งชื่ออัลบั้มนี้ตามปีเกิดของเธอ อีกทั้งเธอยังมีแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มนี้จากเพลงป๊อปยุค 80s ด้วย

เทย์เลอร์มองว่า 1989 เป็นอัลบั้มที่สะท้อนความเป็นเธอออกมาได้ดีที่สุด เธอเคยรู้สึกมาตลอดว่าดนตรีป๊อปคือทางของเธอ เธอเติบโตขึ้นมาผ่านช่วงเวลาต่างๆ ในวัยเด็กพร้อมกับเพลงป๊อป ซึ่งเธอชอบมากกว่าเพลงคันทรีเสียอีก พอมาถึงจุดหนึ่งเธอจึงตระหนักได้ว่าดนตรีที่ถือเป็นสิ่งที่เธอรัก ควรจะถ่ายทอดตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมา

เบื้องหลังการเปลี่ยนแนวเพลงของเธอในครั้งนี้ที่ถูกซ่อนเอาไว้คือ ความมุ่งมั่นและตั้งใจอันแรงกล้าที่จะก้าวสู่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ รวมถึงความต้องการที่จะทำดนตรีในแบบที่เป็นตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจถึงกระแสหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ เธอมองว่าไม่ว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เธอก็ต้องยอมรับว่านี่คือตัวตนของเธอที่เธอเลือก อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนในครั้งนี้กลับประสบความสำเร็จ ด้วยรางวัลการันตีจาก Grammy Awards ครั้งที่ 58 ในสาขา Album of the Year ซึ่งถือเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รางวัลดังกล่าวถึงสองครั้ง เธอยังได้รับรางวัลจาเวที 2015 MTV Video Music Awards สาขา Best Pop Vocal album และสาขา Best Music Video จากมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Bad Blood’ เพลงที่เธอได้นำเหล่าศิลปินชั้นนำกว่าสิบชีวิตมาร่วมอยู่ในมิวสิกวิดีโอนี้ อาทิ เซลีนา โกเมซ, จีจี้ ฮาดิด, เอลลี่ กูลดิ้ง

🩵เพลงจากอัลบั้ม 1989 ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Blank Space
- Style
- All You Had To Do Was Stay 
- Wildest Dream
- This Love

 

6. Reputation (2017) การกลับมาอย่างดุดันของ เทย์เลอร์ สวิฟต์

Reputation (2017)

ครั้งหนึ่งเทย์เลอร์เคยลบโพสต์ออกจากโซเชียลมีเดียของเธอทั้งหมด รวมถึงเว็บไซต์ทางการของเธอด้วย และได้โพสต์ชุดคลิปเกี่ยวกับงู ซึ่งเป็นหนึ่งในฉายาที่เธอได้รับจากผู้ที่มาวิพากษ์วิจารณ์เธอว่าเธอคือ ‘ยัยงูพิษ’ โดยจุดที่มาที่ไปนี้มาจากความบาดหมางก่อนหน้านี้ที่เธอมีกับ คานเย เวสต์ และคิม คาร์ดาเชียน จากความไม่ลงรอยกันสู่งู และจากงูสู่ ‘Reputation’ อัลบั้มลำดับที่ 6 ของเทย์เลอร์

ในอัลบั้มนี้เราจะได้เห็นเทย์เลอร์คนใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าและความดุดันที่มีมากขึ้น ซึ่งเธอได้ถ่ายทอดมุมมองใหม่ต่อการมองโลกที่แตกต่างออกไปจากอัลบั้มก่อนๆ โดยเธอต้องการแสดงให้คนที่ไม่ชอบเธอหรือคนที่วิพากษ์วิจารณ์เธอ ให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับรู้ว่าตัวเธอเองก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน เธอถ่ายทอดความรู้สึกดังกล่าวอย่างชัดเจนผ่าน ‘Look What You Made Me Do’ เพลงแรกของอัลบั้มที่เทย์เลอร์ปล่อยออกมาพร้อมกับมิวสิกวิดีโอที่ได้สอดแทรก easter eggs บอกเล่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างเธอกับคนอื่นๆ เอาไว้มากมาย

ไม่ใช่แค่มุมมองต่อโลกของเทย์เลอร์ที่เปลี่ยนไป แต่รวมถึงมุมมองความรักที่ถูกนำเสนอออกมาใน Reputation ด้วยเช่นกัน ทว่าในครั้งนี้การนำเสนอเรื่องราวความรักของเธอกลับต่างออกไปจากรูปแบบเดิมๆ กล่าวคือ เธอแสดงทัศนะต่อความรักของคนมีชื่อเสียงที่ทั้งหวือหวาและรวดเร็วผ่านเพลง ‘Getaway Car’ ที่ความรักมักจะออกตัวแรงในตอนเริ่มต้น แต่กลับต้องเผชิญอุปสรรครอบข้างมากมาย จนสุดท้ายก็ต้องเลิกรา อย่างไรก็ดีเธอยังแอบแฝงเพลงรักหวานซึ้งตัดกับอารมณ์ของทั้งอัลบั้มอย่าง ‘King Of My Heart’ ทำให้ Reputation เป็นอัลบั้มที่มีความหลากหลายของอารมณ์และเนื้อหามากที่สุดอัลบั้มหนึ่งเลย

🖤เพลงจากอัลบั้ม Reputation ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- ...Ready For It?
- Don't Blame Me
- Delicate 
- Look What You Made Me Do 
- Getaway Car

 

7. Lover (2019) การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับอัลบั้มที่ไม่ใช่แค่เพลงรักหวานซึ้ง

Lover (2019)

หลังจากที่เทย์เลอร์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปแล้วใน Reputation ในครั้งนี้เธอกลับมาพร้อมกับบรรยากาศเก่าๆ จากอัลบั้มก่อนหน้านั้น ทำให้บรรดาเพลงทั้ง 18 เพลงในอัลบั้ม ‘Lover’ ชวนให้คิดถึง Red และ 1989 โดยอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่มีความหลากหลายของแนวดนตรีเป็นอย่างมาก บางเพลงก็เป็นป๊อปสนุกๆ บางเพลงก็เป็นแนวฟังสบาย หรือในบางเพลงก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเพลงคันทรีที่เธอเคยผ่านมา อาจกล่าวได้ว่า Lover เป็นอัลบั้มที่ตอบโจทย์แฟนเพลงของเธอทุกคนได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้อัลบั้ม Lover ยังมีเนื้อหาเพลงใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฏในอัลบั้มอื่นๆ มาก่อนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอเพลงที่แฝงไปด้วยแนวคิดทางการเมืองและเรื่องเพศของเธออย่างเพลง ‘You Need To Calm Down’ ที่แสดงออกถึงพลังของ LGBTQ+ และการตอกกลับบรรดาพวกกลัวคนรักร่วมเพศ (homophobes) รวมถึงเพลงที่พูดเรื่องการกีดกันทางเพศอย่างในสังคมอย่าง ‘The Man’ ที่ถ่ายทอดจุดยืนของเธออย่างชัดเจนต่อการต่อต้านการถูกเหยียดเพศจากผู้ชาย

หนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในอัลบั้มนี้ เมื่อเทย์เลอร์หมดสัญญา กับ Big Machine Records ค่ายเพลงดั้งเดิมของเธอที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่อัลบั้มเดบิวต์จนถึง Reputation ทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับ Republic Records แทน แม้ตัวเธอจะย้ายมาค่ายใหม่แล้ว ทว่าลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ ก่อนหน้ากลับไม่ได้ย้ายตามเธอมาด้วย เพราะตามสัญญาที่เธอเซ็นกับ Big Machine Records ตั้งแต่ครั้งแรก เพลงของเธอทั้งหมดจะตกเป็นของค่ายแต่เพียงผู้เดียว โดยเรื่องราวความวายป่วงยังไม่จบลงแค่นี้ ทาง Big Machine Records กลับขายลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดของเทย์เลอร์ให้กับ สกูเตอร์ บรอน ที่สำคัญสกูเตอร์ยังสนิทกับคานเยด้วย ซึ่งทั้งคู่คือคนที่มีปัญหากับเทย์เลอร์มาตลอดตั้งแต่ช่วงแรกที่เธอก้าวเข้ามาสู่เส้นทางศิลปิน ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เทย์เลอร์อัดเพลงใหม่ของเธอเองใหม่ทั้งหมด โดยการใส่เพลงที่เคยแต่งเอาไว้ในแต่ละอัลบั้มใส่เข้าไปเพิ่ม เพลงที่เธออัดใหม่ทั้งหมดจะใช้ชื่อว่า Taylor’s Version ซึ่ง ณ ขณะนี้อัดใหม่ไปแล้ว 4 อัลบั้ม ได้แก่ Fearless, Speak Now, Red และ 1989 โดยเหลืออีกสองอัลบั้มคือ Taylor Swift และ Reputation 

🩷เพลงจากอัลบั้ม Lover ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง
- Cruel Summer 
- Lover
- I Think He Knows 
- Cornelia Street 
- Daylight

 

8. Folklore (2020) เรื่องราวใหม่บนแนวดนตรีที่เปลี่ยนไป

Folklore (2020)

อย่างที่ทุกคนทราบกันดี นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมามีเหตุการณ์การระบาดครั้งยิ่งใหญ่ของโควิด-19 ไปทั่วโลก เทย์เลอร์เองก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เทย์เลอร์ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในที่พักจนทำให้เธอมีเวลามากพอที่จะเริ่มเขียนเพลงขึ้นมาอีกครั้ง และออกมาเป็นอัลบั้ม ‘Folklore’ อัลบั้มที่เปรียบได้ดั่งบทกวีที่มาในรูปแบบของเสียงเพลง ซึ่งสิ่งที่เซอร์ไพรส์แฟนเพลงของเธออย่างมากคือ อัลบั้มดังกล่าวออกมาห่างจาก Lover เพียงแค่ 11 เดือนเท่านั้น จึงเป็นครั้งแรกที่เธอใช้เวลาในการออกอัลบั้มใหม่ที่สั้นที่สุด เพราะโดยปกติแล้วเธอจะใช้เวลาอย่างต่ำสองปีในการปล่อยอัลบั้มใหม่

Folklore ถือเป็นอัลบั้มที่แตกต่างจากทุกอัลบั้มที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง โดยครั้งนี้เทย์เลอร์ได้นำเสนอเรื่องราวของคนอื่นแทนที่จะเป็นเรื่องราวของตัวเธอเองอย่างในทุกอัลบั้มที่ผ่านมา อย่างการสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงแต่ละบทเพลงเข้าด้วยกันในเพลง ‘Betty’, ‘Cardigan’ และ ‘August’ ประกอบแนวดนตรีที่ผสมผสานกันระหว่างอัลเทอร์เนทีฟป๊อปและโฟล์ก ทำให้แฟนๆ ได้เห็นถึงการเติบโตบนเส้นทางดนตรีของเธอที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเพลงในอัลบั้ม รวมทั้งนี้แนวดนตรีใหม่ๆ ซึ่งถูกนำเสนอมาในรูปแบบคล้ายบทกวีที่เป็นเรื่องเล่าตามชื่ออัลบั้ม Folklore ที่แปลว่าคติชนพื้นบ้านหรือเรื่องเล่า 

อีกทั้งเธอยังได้ดึงเอาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของบทกวีอย่างการอุปมาอุปไมยมาใช้ในเพลงด้วยเช่นกัน เช่น ‘Mirrorball’ ที่เธอเปรียบตัวเองเป็นเหมือนลูกบอลดิสโก้ที่สะท้อนแสงเป็นประกาย แต่ในขณะเดียวกันมันสามารถแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะมีอะไรบางอย่างมากระทบเธอ นอกจากนี้ยังมีเพลง ‘Exile’ ที่ได้เจ้าพ่อเพลงอินดี้อย่าง ‘จัสติน เวอร์นอน’ จากวง Bon Iver มาร่วมฟีเจอริงกับเธอด้วย

ด้วยแนวดนตรีที่เปลี่ยนไป ทำให้อัลบั้มนี้ของเธออาจจะแปลกหูสำหรับแฟนเพลงของเธอไปเล็กน้อย ทว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอในครั้งนี้กลับประสบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีของเธอเป็นอย่างมาก โดย Folklore ทำให้เธอได้รางวัล Grammy Awards ในสาขา Album of the Year ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามที่เธอสามารถคว้ารางวัลนี้มาครอบครองได้สำเร็จ 

🩶เพลงจากอัลบั้ม Folklore ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง
- The 1
- Cardigan 
- Exile (feat. Bon Iver) 
- August
- Betty

 

9. Evermore (2020) ลมอุ่นท่ามกลางฤดูหนาว

Evermore (2020)

ถ้า Folklore คือตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ‘Evermore’ ก็คือตัวแทนของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อัลบั้มที่เปรียบได้กับน้องสาวของ Folklore โดย Evermore ก็ถูกแต่งขึ้นช่วงเวลากักตัวจากโรคระบาดเช่นเดียวกัน ซึ่งเธอต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวมากมายที่อยู่ห้วงลึกจิตใจมานานแสนนาน ผ่านทำนองเพลงที่ไม่หนักมาก มีความนุ่มนวลในเสียงดนตรี รวมทั้งทำนองที่ไม่เร็วจนเกินไป ทำให้เพลงนี้เป็นเหมือนเพลงที่เราจะเปิดตอนกำลังนั่งผิงไฟในค่ำคืนอันหนาวเน็บ ซึ่งเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้จะช่วยให้รู้สึกอบอุ่นไม่ต่างกับเตาผิงเลย

เทย์เลอร์ได้ผสมแนวดนตรีที่หลากหลายลงไปในอัลบั้ม Evermore มีทั้งกลิ่นอายความเป็นคันทรีที่กลับมาอีกครั้งในเพลง ‘Willow’ ทว่าเธอยังคงเอกลักษณ์จากอัลบั้ม Folklore มาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้เช่นเดียวกันอย่างการหยิบเอาเรื่องราวของคนอื่นมาถ่ายทอดเป็นบทเพลงอย่าง ‘Marjorie’ ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของคุณยายของเธอที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับเทย์เลอร์ หรือแม้แต่การสร้างตัวละครสมมติอย่าง ‘Dorothea’ ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความรักของเด็กสาวคนหนึ่งในโรงเรียน นับเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้อัลบั้มนี้มีความโดดเด่นทั้งในแง่ดนตรีและเรื่องราวที่แฝงอยู่ในบทเพลงต่างๆ 

🤎เพลงจากอัลบั้ม Evermore ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Willow
- Champagne Problem 
- Gold Rush 
- Tolerate It 
- Coney Island (feat. The National)

 

10. Midnights (2022) เรื่องราวยามรัตติกาลที่ยากจะหลับตา

Midnights (2022)

เทย์เลอร์กล่าวว่า ‘Midnights’ คืออัลบั้มที่รวบรวม 13 เรื่องราวที่ทำให้ค่ำคืนของเธอเป็นช่วงเวลาที่ยากจะนิทรา โดยที่มาที่ไปของเรื่องราวในอัลบั้มนี้เริ่มต้นจากการที่เธอลุกขึ้นมาแต่งเพลงในช่วงเวลาที่ควรจะเป็นเวลานอนของเธอ ทำให้เธอหยิบเอาเรื่องราวการเดินทางในท่ามกลางความฝันและความหวาดกลัวต่างๆ ของเธอมาเป็นธีมหลักในอัลบั้มนี้ของเธอ โดยในเวอร์ชั่นแรกที่ปล่อยออกมาจะมีซิงเกิลทั้งหมด 13 เพลง นั่นจึงเป็นที่มาของ 13 เรื่องราวที่ของเธอในอัลบั้ม ที่สำคัญ 13 ยังเป็นเลขนำโชคของเทย์เลอร์ด้วย

ในอัลบั้มนี้ยังได้ ลานา เดล เรย์ ศิลปินเพื่อนรักของเทย์เลอร์มาร่วมฟีเจอริงในเพลง ‘Snow On The Beach’ เพลงรักชวนฝัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเพลงยอดนิยมในอัลบั้มนี้ ที่ถึงแม้ว่าแฟนๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลานาร้องน้อยเกินไป (ทำให้เทย์เลอร์ตัดสินใจอัดเพลงนี้อีกรอบในเวอร์ชั่น More Lana Del Rey) นอกจากนี้เธอยังได้มีการปล่อยเวอร์ชั่น 3am Tracks ซึ่งมีเพิ่มมาอีก 7 เพลง จากในตอนแรกที่เธอตัดเพลงเหล่านี้ออกไปในเวอร์ชั่นเปิดตัว

อย่างไรก็ตาม Midnights ยังเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่เธอได้ค้นพบตัวเองมากขึ้น ‘Anti-Hero’ เพลงที่เธอตั้งใจนำเสนอมุมมองที่เธอมีต่อเรื่องราวดราม่ามากมายในชีวิต บางครั้งเธอก็โทษการกระทำของตนเอง บางครั้งเธอก็รู้สึกว่านี่ก็ไม่ใช่ตัวตนของเธอ ทว่าการค้นพบเรื่องราวต่างๆ ยามค่ำคืนของเธอในอัลบั้มนี้กลับพาเธอไปคว้ารางวัล Grammy Awards อีกครั้ง ในสาขา Album of the Year (ครั้งที่ 4 ของเทย์เลอร์) และ Best Pop Vocal Album ซึ่งเธอพึ่งรับรางวัลนี้ไปเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมานี่เอง

💙เพลงจากอัลบั้ม Midnights ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Lavender Haze
- Anti-Hero
- You’re On Your Own, Kid
- Sweet Nothing
- Mastermind

 

11. The Tortured Poets Department (2024) กวีบทใหม่ของ เทย์เลอร์ สวิฟต์

The Tortured Poets Department (2024)

มาถึงอัลบั้มสุดท้ายและเป็นอัลบั้มล่าสุดที่เทย์เลอร์ปล่อยให้ทุกคนได้ฟังกันไปแล้ววันนี้ (19 เมษายน 2024) ในชื่อ ‘The Tortured Poets Department’ โดยเทย์เลอร์ยังไม่ได้ออกมาเล่าถึงเบื้องหลังหรือคอนเซปต์ของอัลบั้มนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีแฟนเพลงของเธอสันนิษฐานถึงที่มาที่ไปจากชื่ออัลบั้มและชื่อเพลงที่ได้ปล่อยออกมาก่อนหน้าว่า อัลบั้มนี้น่าจะเป็นการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ โจ อัลวิน นักแสดงหนุ่มจากเกาะอังกฤษ ที่ทั้งคู่ต่างคบหากันกว่า 6 ปี ก่อนที่จะเลิกรากันไป แม้ว่านี่จะเป็นการคาดเดาของแฟนเพลง ทว่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันในเพลงของเทย์เลอร์ที่ทำให้ผู้ฟังได้คาดเดาและเชื่อมโยงถึงความหมายที่แท้จริงของเพลง

นอกจากนี้เทย์เลอร์ยังเซอร์ไพรส์แฟนคลับของเธอด้วยการปล่อยเพลงลับของอัลบั้ม (secret double album) ในเวอร์ชั่น The Anthology เพิ่มให้ฟังกันเพิ่มอีก 15 เพลง รวมแล้ววันนี้แฟนคลับของเทย์เลอร์จะได้ฟังเพลงใหม่ทั้งหมด 31 เพลง โดยได้ปล่อยลงทุกสตรีมมิ่งเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าวันนี้ทุกคนจะได้ซึมซับเพลงของเธอใน The Tortured Poets Department กันอย่างจุใจแน่นอน

ในอัลบั้ม The Tortured Poets Department นี้ยังได้ โพสต์ มาโลน มาร่วมฟีเจอริงกันในเพลง ‘Fortnight’ และ Florence + The Machine มาร่วมฟีเจอริงกันในเพลง ‘Florida!!!’ ด้วย

หลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า The Tortured Poets Department จะพาเทย์เลอร์ไปในทิศทางไหนบนเส้นทางดนตรี รวมถึงอัลบั้มนี้จะพาเธอคว้ารางวัลอะไรมาครอบครองได้หรือไม่

🧡เพลงจากอัลบั้ม The Tortured Poets Department ที่อยากแนะนำให้ได้ฟัง 
- Fortnight (feat. Post Malone) 
- The Tortured Poets Department 
- But Daddy I Love him 
- Florida!!! (feat. Florence + The Machine) 
- imgonnagetyouback