นับตั้งแต่วันที่เธอเปิดตัวเป็นนางแบบในวงการแฟชั่นโลก หลังอพยพหนีภัยสงครามจากซูดาน ประเทศบ้านเกิด มาลี้ภัยและอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ช่วงที่เธอยังเป็นวัยรุ่น
เพราะด้วยความงามแบบอัฟริกันแท้ๆ สไตล์ชนเผ่า ผิวสีดำสนิท ผมทรงสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ และรูปร่างสูงชะลูดแขนขายาวของ Alek เป็นสิ่งที่วงการไฮแฟชั่นในอดีต ยากที่จะยอมรับความงามในสไตล์แบบ Alek ด้วยยังมีการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติที่มีความรุนแรงในยุคนั้น
แต่ในที่สุด ด้วยความงามที่ไม่เหมือนใคร Alek ก็สามารถก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหมด ขึ้นชั้นมาเป็นนางแบบแถวหน้าของวงการแฟชั่นโลกได้ในที่สุด และสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก จนทำให้คนทั้งโลกเริ่มมองเห็นและยอมรับกับความงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
ปัจจุบัน Alek ก็ยังมีงานถ่ายแบบเดินแบบอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น เธอยังได้ใช้ชื่อเสียงของเธอ ในการอุทิศตนเป็นกระบอกเสียง ช่วยบอกเล่าให้โลกรับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม ที่คร่าชีวิตเพื่อนร่วมชาติซูดานของเธอไปมากมาย รวมทั้งสถานการณ์ผู้อพยพหนีสงครามที่อยู่ในภาวะวิกฤต
ซึ่ง Alek ได้ทำงานร่วมกับองค์กรระดับโลกทั้ง UNHCR, UNICEF และ H&M Conscious Foundation เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้อพยพ โดยเธอเคยเดินทางกลับไปที่บ้านเกิด เพื่อนำอาหารและนมไปแจกจ่ายให้แก่ผู้อพยพ เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งนางแบบที่มีสำนึกรักบ้านเกิดอย่างที่สุดอีกด้วย
ล่าสุด Alek ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Models.com ที่เธอเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่เธอยังรักอาชีพนางแบบ และยังคงทำอาชีพนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุค 90 มาจนถึงปี 2017 นั่นก็เพราะมันเป็นอาชีพที่ทำให้เธอได้เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา เพราะแค่ยืนอยู่หลังเวทีแฟชั่นโชว์ เธอก็จะได้เจอและพูดคุยกับทั้งนักข่าว บายเออร์ และเพื่อนนางแบบที่เดินทางมาจากทั่วโลกซึ่งเธอจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จากผู้คนเหล่านั้น ที่ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของวงการแฟชั่นโลก เพราะตั้งแต่เด็กๆ ตัวเธอไม่ได้เติบโตมากับการอยู่ใกล้แฟชั่น ไม่เคยได้เห็นหรือเปิดอ่านแม็กกาซีนแฟชั่นที่วางขายบนแผงหนังสือเลย
Alek บอกต่อว่า ตอนที่เธอเริ่มทำงานนางแบบ เธอต้องใช้สัญชาตญาณล้วนๆ ในการทำงาน เพราะตั้งแต่เด็กๆ เธอไม่เคยมี "นางแบบต้นแบบ" เหมือนอย่างเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มักจะมีนางแบบคนโปรดให้ตัวเองเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นตัวอย่างให้ทำตาม
แต่นั่นกลับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัว Alek เพราะเวลาไปคาสติ้งแล้ว คนคัดตัวบอกว่า นางแบบอย่างเธอทำงานถ่ายโฆษณาไม่ได้ เพราะลักษณะของเธอมันดูแข็งแกร่งเกินไป แต่ Alek กลับคิดว่า เธอไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเธอคิดว่าตัวเธอก็ดูเป็นคนปกติทั่วไป แล้วทำไมเธอถึงจะถ่ายโฆษณาไม่ได้ซึ่งโชคดีที่ความสวยต่างของ Alek ก็มักไปเข้าตาบรรดาช่างภาพแฟชั่นแถวหน้าของโลกอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นก็คือ Steven Meisel แห่ง Vogue อิตาลี ที่บอกกับ Alek ตอนสไตลิสต์จัดให้เธอสวมวิกผมถ่ายแฟชั่น แต่ Steven กลับบอกให้ Alek ถอดวิกผมนั้นออกซะ เพราะเขาอยากให้เธอสวยในแบบที่เป็นตัวของเธอเอง
ซึ่ง Alek คิดว่า เด็กยุคนี้ควรได้เห็นคนที่เป็นตัวแทนของความงามหลายๆ แบบ เพื่อที่จะได้เกิดความเข้าใจว่า โลกนี้มีความงามที่แตกต่างหลากหลาย
และเธอก็รู้สึกว่า เด็กยุค 2017 นั้นโชคดี ที่จะได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการได้สัมผัสกับความงามที่แตกต่างหลากหลาย จนพวกเขาเกิดความเคยชินและรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะดูแตกต่าง และมีความเป็นตัวของตัวเอง
เพราะตอนนี้วงการแฟชั่นโลกก็กำลังมีกระแสเชิดชูและรณรงค์ให้ชาวโลกเกิดความเข้าใจในเรื่องของความหลากหลายทางความงามกันอยู่พอดี
ซึ่งตอนนี้หากเปิดดูแม็กกาซีนแฟชั่น เราก็จะได้เห็นนางแบบนายแบบที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างหลากหลายปรากฏอยู่ในแม็กกาซีนกันเต็มไปหมด
ที่ Alek รู้สึกว่า ตอนนี้โลกกำลังก้าวมาถึงจุดที่เธออยากเห็นมาตลอดชีวิต แค่การที่เธอได้มานั่งคุยถึงเรื่องความงามที่หลากหลายกับทาง Models.com ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับมุมมอง และความคิดทางด้านความงามของผู้คนแล้ว
ซึ่งถ้าเทียบกับในอดีต การที่เธอจะมานั่งคุยเรื่องนี้กับสื่อสายแฟชั่น ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Alek ปราถนาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องความต้องการที่จะให้ชาวโลกยอมรับในความเป็นตัวของตัวเองของเธออีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือผู้อพยพชาวซูดาน ที่กำลังทนทุกข์ทรมานกับพิษของสงครามกลางเมือง ที่ทำให้ชาวบ้านไม่มีทั้งที่อยู่และอาหาร
ซึ่งที่ผ่านมา Alek ก็ช่วยเหลือเท่าที่เธอจะช่วยได้ ด้วยการลงพื้นที่ค่ายอพยพที่ซูดานบ้านเกิดกับ UNHCR ไปแจกอาหารและพูดคุยกับผู้อพยพ ที่ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาทุกครั้ง เพราะทำให้นึกถึงตัวเองสมัยเป็นเด็ก ที่ต้องอพยพลี้ภัยสงครามเช่นเดียวกัน