รายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงที่สุด ซึ่งการป้องกันโรคไตเริ่มต้นง่ายๆ แค่ลดการบริโภคโซเดียม และเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้
แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะในผักหรือผลไม้ที่กินกันทุกวัน แม้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ก็มีบางชนิดที่กลับมีอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะผักผลไม้เหล่านั้นมีสารพิษในตัวมันเอง ซึ่งถ้ากินในปริมาณน้อยอาจจะไม่ก่อให้เกิดพิษ แต่หากกินในปริมาณมากอาจจะเป็นพิษได้ หรือบางชนิดถ้ากินดิบๆ ก็จะเป็นพิษ แต่ถ้าทำให้สุกหรือผ่านกระบวนการให้ความร้อนก่อนสารพิษก็จะสลายตัวได้ ส่วนในผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารหรือแร่ธาตุบางอย่างในปริมาณสูง และอาจจะก่อเกิดโทษกับ “ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคไต เพราะผู้ป่วยโรคไตมักจะมีความบกพร่องในการขจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ Hyperkalemia หรือภาวะที่มีปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์ และไตต้องทำงานหนักในการขับแร่ธาตุ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและระบบหัวใจ ดังนั้น สำหรับผู้ป่วยโรคไตจึงควรระมัดระวังในการกินผักผลไม้
สำหรับผักผลไม้ข้างต้นยังสามารถกินได้แต่แนะนำให้กินในปริมาณน้อยๆ อีกประเด็นสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังคือ นอกจากผลไม้จะมีปริมาณโพแทสเซียมสูงแล้ว ยังอาจมีโซเดียมและน้ำตาลที่อาจส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของไตและระบบภายในร่างกายอื่นๆ ได้ด้วย ดังนั้น หากผู้ป่วยมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงกว่า 5.0 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ควรงดผลไม้ทุกชนิด (ชั่วคราว) นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไตควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดูแลสุขภาพโดยรวม เนื่องจากในผู้ป่วยโรคไตแต่ละเคสอาจมีปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ ที่ควรต้องคำนึงถึงด้วย
ผลไม้ทั้งหมดนี้จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีปริมาณโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งถือว่าปลอดภัยต่อผู้ป่วยโรคไตที่ควรจำกัดปริมาณโพแทสเซียมให้ไม่เกิน 4.7 กรัมต่อวัน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง หรือผู้ป่วยโรคไตในระยะท้ายๆ
หวังว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคไต คนที่ต้องทำอาหารให้ผู้ป่วยกิน รวมทั้งคนที่กำลังดูแลสุขภาพ และเพื่อไม่ให้พลาดเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพ อย่าลืมกดติดตาม Nation STORY ในทุกแพลตฟอร์ม แล้วรออ่านคอนเทนต์ดีๆ ที่เราจะนำมาเสิร์ฟในทุกๆ วันได้เลย
แหล่งอ้างอิง : กรมอนามัย/คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล