พฤติกรรมที่ชอบกิน “อาหารหวาน” หรือ “อาหารไขมันสูง” เป็นประจำ โดยเฉพาะพวกของมันของทอด ปิ้งย่าง หรือชาบู อาจส่งผลให้สมดุลของน้ำดีเสียไป ทำให้เกิดก้อนผลึกขึ้นในถุงน้ำดี เกิดเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี” ขึ้นได้ ซึ่งหากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีถึงขั้นอักเสบแล้วอาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ทำให้เราแทบจะหมดโอกาสที่จะได้กินอาหารหวานมันเหมือนเมื่อก่อน ใครไม่อยากเป็นแบบนั้นก็ควรระมัดระวังพฤติกรรมการกินอาหาร และมาทำความรู้จักกับโรคนี้ไว้แต่เนิ่นๆ
นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของสารต่างๆ ในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่วขึ้นที่ถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน (แต่ก็มีกรณีที่ไม่แสดงอาการ) สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออก ซึ่งความผิดปกติของถุงน้ำดีมักมาจากภาวะการอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีเนื้องอก เกิดพังผืด ติดเชื้อ ได้รับการกระทบกระเทือน แต่สาเหตุส่วนมากของถุงน้ำดีอักเสบกว่าร้อยละ 95 เป็นผลมาจากการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone)
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี”
ข้อสังเกตอาการในเบื้องต้น อาการในช่วงแรกถ้ายังไม่รุนแรงมาก มักจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่กินอาหารที่มีไขมันสูงเข้าไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการบวมตึงในถุงเพราะการคั่งของของเหลว มีลักษณะอาการที่สังเกตได้ ดังนี้
โดยทั่วไปพบว่า หากเริ่มมีอาการแล้ว ก็มักจะเป็นต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น (เนื่องจากก้อนนิ่วมักไม่ได้หายไปไหน มีแต่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ) เมื่อเริ่มมีก้อนนิ่วภายในถุงน้ำดีแล้ว มีโอกาสเกิดภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis) ได้ทุกเมื่อ ซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้
"นิ่วในถุงน้ำดี" มักเป็นโรคที่มักถูกมองว่าไม่รุนแรงและสามารถรักษาได้ แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นจากการที่ก้อนนิ่วหลุดเข้าไปในท่อน้ำดีหรือท่อตับอ่อนแล้ว อาจอันตรายถึงชีวิต!
ปรับวิถีการ(เลือก)กิน เพื่อลดเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
ผ่าตัดถุงน้ำดีออกแล้ว "อาหาร" ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเลือก
เพราะตับจะทำหน้าที่ขับน้ำดีออกมาและถูกเก็บไว้ในถุงน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยอาหารประเภทไขมัน เมื่อผู้ป่วยผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว การปล่อยน้ำดีจะส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวด ไม่สบายท้อง ท้องเสีย โดยเฉพาะหลังมื้ออาหารที่มีอาหารประเภทไขมันสูง ดังนั้น หลักการกินอาหารสำหรับผู้ที่ผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว คือควรกินโดยแบ่งการกินออกเป็นมื้อเล็กๆ เพื่อให้ปริมาณน้ำดีที่ขับออกมาเหมาะสมกับปริมาณอาหาร และเน้นกินอาหารประเภทธัญพืช ผัก ผลไม้ โปรตีนที่ไม่ติดมัน หรือมีไขมันเพียงเล็กน้อย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา พร้อมทั้งเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่าง ชา กาแฟ และน้ำอัดลม
หันมาปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อป้องกันการเกิด "โรคนิ่วในถุงน้ำดี" ก่อนสาย เพราะโรคนี้ไม่ใช่แค่สร้างความเจ็บปวด แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน โรคนิ่วในถุงน้ำดีก็จะทวีความรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจทำให้เสียชีวิตได้!