ชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร (1 ตุลาคม) แถลงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (4 ตุลาคม) ว่า รัฐบาลจะออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดที่ยาวนาน 30 ปี เขาตั้งเป้าว่าจะทำให้ประชาชนมีค่าจ้างเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 1,500 เยนต่อชั่วโมงภายในสิ้นทศวรรษ 2020 เร็วกว่าที่รัฐบาลชุดก่อนตั้งไว้ ขณะที่ค่าจ้างปัจจุบันอยู่ที่ 1,055 เยน
นอกจากนี้อิชิบะ ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกลาโหม บอกด้วยว่า ญี่ปุ่นเผชิญสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนและตึงเครียดที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการละเมิดน่านฟ้าโดยเครื่องบินของจีนและรัสเซีย, การพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ, สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
และเขาให้ความมั่นใจว่า ญี่ปุ่นยังยึดมั่นในพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ และเขาจะเพิ่มแสนยานุภาพของกองทัพเพื่อปกป้องประเทศจากจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ นอกจากนี้จะส่งเสริมและขยายความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ และความร่วมมือไตรภาคีระหว่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ
นอกจากนี้อิชบะ บอกด้วยว่า รัฐบาลเตรียมตั้งสำนักงานป้องกันภัยพิบัติที่มีรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูล, เพิ่มเงินช่วยเหลือแก่รัฐบาลท้องถิ่น, ส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตร เพราะมองว่า เกษตรกรรม การป่าไม้และการประมง เป็นรากฐานสำหรับของการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และเป็นกุญแจสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ
ส่วนกรณีอื้อฉาวเรื่องการระดมเงินสนับสนุนทางการเมืองที่ทำลายความศรัทธาของผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี อิชิบะ บอกว่า เขาจะฟื้นคืนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมือง
อิชิบะประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่า เขาจะยุบสภาในสัปดาห์หน้า เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ โดยเขาพูดเรื่องนี้เพียงหนึ่งวันก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากพรรคฝ่ายค้านที่มองว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ขณะที่ผลสำรวจครั้งแรกหลังอิชิบะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พบว่า เขาได้รับคะแนนนิยมราว 50% หรือต่ำกว่านั้น ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดสำหรับผู้นำคนใหม่ของประเทศ