ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ หลังถูกซักว่า สหรัฐฯจะสนับสนุนแนวทางให้อิสราเอลโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน หรือไม่ โดยบอกว่า “เรากำลังหารือเรื่องนั้น” แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเขายืนยันว่า จะไม่สนับสนุนให้อิสราเอลโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ความเห็นของไบเดนทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งสูงขึ้น 5% ทันที และเพิ่มขึ้น 10% แล้วนับจากอิหร่านระดมยิงขีปนาวุธกว่า 180 ลูกใส่อิสราเอลเมื่อวันอังคาร
อิหร่านเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก และผลิตน้ำมันได้เกือบ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 3% ของปริมาณการผลิตทั้งโลก นักวิเคราะห์ ประเมินว่า หากอิสราเอลโจมตีทำลายศักยภาพการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน อาจทำให้น้ำมันที่ป้อนสู่ตลาดหายไปราว 1.5 บาร์เรลต่อวัน แต่หากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญน้อยกว่า อาจกระทบต่อการส่งออกวันละ 300,000-450,000 บาร์เรลต่อวัน
นักวิเคราะห์กังวลด้วยว่า หากอิหร่านตอบโต้โดยโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศเพื่อนบ้าน หรือ เส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญ รวมถึงช่องแคบฮอร์มุซ อาจส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น
กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัตอิสลาม หรือ ไออาร์จีซี ของอิหร่าน ยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูก โจมตีเป้าหมายทางทหารและความมั่นคงในอิสราเอลเมื่อวันอังคาร เพื่อล้างแค้นให้กับฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะหื ที่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในกรุงเบรุตของเลบานอนสัปดาห์ที่แล้ว และอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส ที่เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในกรุงเตหะรานของอิหร่านเมื่อวันที่ 31กรกฎาคม
อิสราเอลอ้างว่าสกัดขีปนาวุธส่วนใหญจากกว่า 180 ลูกของอิหร่านไว้ได้ ขณะที่อิหร่านอ้างว่า พุ่งเป้าโจมตีฐานทัพ 3 แห่งในกรุงเทลอาวีฟ และมีการใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกรุ่น ฟัตตาห์ โจมตีเป็นครั้งแรก แต่อิสราเอลแย้งว่า ไม่พบมีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ประกาศทันทีว่า อิหร่านทำสิ่งผิดพลาดครั้งใหญ่และจะต้องชดใช้ และกองทัพอิสราเอล ประกาศด้วยว่า จะตอบโต้อิหร่านอย่างสาสม ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินแนวทางการล้างแค้นของอิสราเอล
อิสราเอลอาจใช้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหาร เช่น ฐานยิงขีปนาวุธ, ระบบป้องกันภัยทางอากาศ, ฐานทัพของไออาร์จีซี นอกจากนี้อาจโจมตีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน, โรงงานปิโตรเคมี, โรงไฟฟ้า และการขนส่งสินค้าทางทะเล, การโจตีต่อเป้าหมายของโครงการนิวเคลียร์, การโจมตีทางไซเบอร์ และการลอบสังหารระดับผู้นำสูงสุด "อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี" และระดับผู้บัญชาการของไออาร์จีซี
แต่ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ของอิหร่าน เตือนว่า การโจมตีทางทหาร ก่อการร้าย หรือ การกระทำใด ๆ ที่ข้ามเส้นแดง จะต้องได้รับการตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวจากกองทัพอิหร่าน
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อิหร่านส่งสัญญาณเตือนถึงสหรัฐฯ ด้วยว่า ช่วงเวลาแห่งการอดกลั้นฝ่ายเดียวสิ้นสุดลงแล้ว และอิหร่านจำเป็นต้องควบคุมความบ้าคลั่งเกินควบคุมของอิสราเอล
และหลายฝ่ายกำลังจับตาถ้อยแถลงของอยาตอลเลาะห์คาเมเนอี ที่จะกล่าวเทศนาในพิธีละหมาดประจำวันศุกร์ที่มัสยิดอิหม่าม โคไมนี ในกรุงเตหะรานเป็นครั้งแรกนับจากปี 2563 โดยคาดว่า อาจพูดถึงแผนการต่อจากนี้ หลังการยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล และถ้อยแถลงนี้จะมีขึ้นเพียง 3 วัน ก่อนการครบรอบ 1 ปี ที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม นำไปสู่อิสราเอลเปิดฉากสงครามในฉนวนกาซาในวันเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 13 เมษายน อิหร่านยิงขีปนาวุธ 120 ลูก และส่งโดรน 170 ลำ โจมตีอิสราเอล โดยสร้างความเสียหายเล็กน้อยต่อฐานทัพแห่งหนึ่งในภาคใต้ของอิสราเอล เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลโมตีสถานกงสุลในกรุงดามัสกัสของซีเรีย และในวันที่ 18 เมษายน อิสราเอลยิงโจมตีฐานทัพอากาศในเมืองอิสฟาฮานของอิหร่าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายพยายามจำกัดการโจมตีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลาย แต่ด้วยขนาดการโจมตีของอิหร่านล่าสุด ทำให้อิสราเอลอาจโจมตีหนักขึ้นกว่าเดือนเมษายน