รู้ไหมว่าในแต่ละปี อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกมีการผลิตเสื้อผ้าออกมามากกว่า 1 ล้านล้านชุด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาการสร้างขยะและมลพิษมากกว่าที่เราคิด เพราะโลกของเรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียนว่า ฟาสต์แฟชั่น ซื้อมาใส่แล้วก็เบื่อ แล้วก็ซื้อใหม่ภายในเวลาไม่นาน จะเก็บใส่ตู้ทุกตัวตู้ก็ไม่พอ สุดท้ายตัวไหนไม่ใส่ก็ต้องทิ้ง
ปัญหามันเกิดจากการที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่มีส่วนประกอบเป็นโพลีเอสเตอร์ หรือด้ายที่ทำจากพลาสติกแล้วนำมาทอผ้า ซึ่งวัสดุชนิดนี้อาจจะดูทนทาน แต่มันไม่สามารถรีไซเคิลได้ ส่งผลให้เกิดเกิดปัญหาขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยาก กลายเป็นแหล่งที่มาของไมโครพลาสติก ปนเปื้อนอยู่ในอากาศที่เราหายใจ น้ำที่เราดื่ม อาหารทะเลที่เรากิน นี่คือส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดขึ้น จากฟาสต์แฟชั่น
ที่สำคัญคือหนึ่งในต้นตอของกระแสฟาสต์แฟชั่นในปัจจุบันก็ไม่ได้มาจากรันเวย์ของแบรนด์ดังที่ไหน แต่มาจากบรรดาศิลปินนักร้องที่เราชื่นชอบ เพราะแฟนๆหลายคนเองก็มักจะอยากแต่งตัวตามเทรนด์ตามแบบศิลปิน ยิ่งถ้าเป็นศิลปินที่โด่งดังในระดับหนึ่งก็มักจะได้รับการว่าจ้างหรือสนับสนุนจากแบรนด์แฟชั่นต่างๆให้เป็นพรีเซ็นเตอร์
ที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าปัญหาอยู่ที่ศิลปิน แต่ปัญหาคือความไม่ยั่งยืนของเทรนด์หรือกระแสที่เกิดจากอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอด ซึ่งมีคนจำนวนมากที่พร้อมจะเปลี่ยนตามกระแสไปกับศิลปินด้วย แถมปัจจุบันมีแบรนด์แฟชั่นหน้าใหม่จำนวนมากที่ไม่เน้นคุณภาพ เขาเน้นการผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นราคาเบาๆให้เรารู้สึกว่าซื้อมาใส่ครั้งสองครั้งก็คุ้มแล้วไม่เสียดายอะไร แต่ที่ต้องรับผลกระทบไปเต็มๆก็คือโลกของเรานั่นเอง
ถ้าอ้างอิงข้อมูลของกรีนพีซ เขาบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ความผิดที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องมารับผิดชอบ แต่เป็นบริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ควรจะเริ่มมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ต้องยอมเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อโลก หันมาใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าเดิมก็ตาม ที่สำคัญคือต้องให้ความเป็นธรรมกับแรงงานมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังการผลิตเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง แต่ได้ค่าจ้างแทบไม่พอกินด้วย
ส่วนพวกเราในฐานะผู้บริโภค ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามแต่งตัวห้ามตามแฟชั่น แต่เราสามารถมองหาแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) หรือ แฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco Fashion) ได้ หลากหลายวิธี
ที่นี้เราก็สามารถเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่แฟชั่นที่ไม่ทำร้ายโลกได้แล้ว