ลืมการทำงานตามเวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ไปได้เลย เพราะพนักงานยุคใหม่กำลังมองหาบริษัทที่ยืดหยุ่นเวลาทำงานให้พวกเขา ไม่ใช่แค่เข้างานสายขึ้นเท่านั้น แต่ต้องปล่อยให้พนักงานทำงานในเวลาที่พวกเขารู้สึกอยากทำงาน อาจจะเป็นการเริ่มทำงานตอนเที่ยง ตอนเย็น หรือตอนกลางคืน เพราะแต่ละคนมีตารางการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะสะดวกทำงานตอนบ่าย บางคนอาจจะสะดวกทำงานตอนกลางคืน การให้พนักงานทำตามเวลาที่ตัวเองสะดวก จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น
เทรนด์เวลาการทำงานตามใจพนักงานแบบนี้ เรียกว่า “Chronoworking” ซึ่งเป็นสิ่งที่พนักงานประจำรุ่นใหม่มองว่าเข้ากับการทำงานในยุคสมัยนี้มากกว่า นอกจากแต่ละคนจะมีตารางชีวิตที่ไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละคนยังมีช่วงเวลาที่โฟกัสกับการทำงานได้มีประสิทธภาพสูงสุดที่ไม่เหมือนกันด้วย บางคนชอบทำงานตอนเช้ามืด แม้จะต้องตื่นเช้า แต่เงียบสงบ จึงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนบางคนชอบทำงานตอนเที่ยงๆ เพราะอยากนอนพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยเริ่มทำงาน จึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่า บางคนอาจจะชอบทำงานตอนกลางคืน เพราะเป็นคนนอนดึก หรือบางคนอาจจะเลือกทำงานตอนเช้า 4 ชั่วโมง แล้วออกไปทำธุระอะไรของตัวเองทั้งวัน แล้วกลับมาทำงานอีกทีตอนเย็น เพราะสะดวกเวลาทำงานแบบนี้มากกว่า การบังคับให้พนักงานทุกคนทำตามตามเวลาปกติพร้อมกัน อาจจะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพการทำงานเท่าที่ควร
หากพนักงานได้เลือกเวลาทำงานของตัวเอง นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ยังช่วยให้พนักงานรู้สึกสนุกกับการทำงานมากขึ้น เพราะสามารถจัดการเวลาทำงานของตัวเองได้ และแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นตามที่ตัวเองชอบ และหากพนักงานมีความสุขในการทำงาน ก็จะไม่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปทำงานที่อื่น
แน่นอนว่าบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้นโยบายเวลาทำงานแบบ Chronoworking ได้ เพราะต้องมีการติดต่อบริษัทอื่น ติดต่อลูกค้า ที่ทำงานกันตามเวลาปกติ แต่บริษัทที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ หรือมีสาขาในหลายประเทศ เริ่มทดลองให้พนักงานเลือกทำงานตามเวลาที่ตัวเองพอใจแล้ว ซึ่งบางบริษัทมองว่านโยบาย Chronoworking มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แม้ในช่วงแรก การทำงานเป็นทีมอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ในระยะยาวแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทมากกว่า