svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

ฟิลิปปินส์รื้อแนวกั้นลอยน้ำของจีนในทะเลจีนใต้

ฟิลิปปินส์รื้อถอนทุ่นลอยน้ำที่จีนตั้งเป็นแนวกั้นในบริเวณสันดอนสการ์โบโรห์ ในทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจทำให้ประเด็นพิพาททะเลจีนใต้ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์ใช้ปฏิบัติการพิเศษรื้อถอน “แนวกั้นลอยน้ำ” ที่จีนตั้งในบริเวณสันดอนสการ์โบโรห์ ในทะเลจีนใต้เมื่อวันจันทร์ (25 กันยายน) พร้อมกับเผยแพร่คลิปและภาพนิ่งขณะนักประดาน้ำใช้มีดตัดเชือกที่ยึดทุ่นลอยน้ำไว้ และภาพเจ้าหน้าที่รื้อถอนสมอที่ใช้ยึดทุ่นของแนวกั้นลอยน้ำด้วย

โฆษกยามฝั่ง ระบุว่า ปฏิบัติการนี้เป็นไปตามคำสั่งของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และคณะทำงานพิเศษด้านทะเลจีนใต้ที่เขาแต่งตั้งขึ้น และระบุว่า แนวกั้นลอยน้ำดังกล่าวเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ, ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน และขัดขวางการทำประมงและกิจกรรมการดำรงชีวิตของชาวประมงฟิลิปปินส์ในบริเวณ Bajo de Masinloc ( BDM) หรือที่รู้จักในชื่อ สันดอนสการ์โบโรห์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาณาเขตของฟิลิปปินส์

ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์หน่วยยามฝั่งฟิลิปปินส์เผยแพร่ภาพหน่วยยามฝั่งจีนลาดตระเวนใกล้กับแนวกั้นลอยน้ำที่ยาวราว 300 เมตรใกล้สันดอนสการ์โบโรห์ ที่ห่างจากชายฝั่งฟิลิปปินส์ราว 200 กม. ซึ่งเป็นจุดที่มีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยและสิทธิการทำประมงระหว่างฟิลิปปินส์และจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมา และระบุว่า ยามฝั่งฟิลิปปินส์พบแนวกั้นดังกล่าวระหว่างการลาดตระเวนเมื่อวันศุกร์ (22 กันยายน)

ฟิลิปปินส์ กล่าวหาว่า จีนตั้งแนวกั้นลอยน้ำเพื่อปิดกั้นไม่ให้เรือประมงฟิลิปปินส์เข้าไปทำประมงในพื้นที่ดังกล่าว และประณามการกระทำของจีน

กระทรวงต่างประเทศจีน แถลงเมื่อวันจันทร์ตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของฟิลิปปินส์ โดยชี้แจงว่า ในวันที่ 22 กันยายน เรือของสำนักงานประมงและทรัพยากรทางทะเลของฟิลิปปินส์พยายามเข้าไปในน่านน้ำของจีนใกล้เกาะหวงเอี้ยน ซึ่งเป็นชื่อที่จีนเรียกแทน สันดอนสการ์โบโรห์  โดยไม่ได้รับอนุญาต และยามฝั่งจีนพยายามขัดขวางเพื่อไล่เรือฟิลิปปินส์ออกไป โดยกระทำการอย่างมืออาชีพและสุขุม

สันดอนสการ์โบโรห์ถูกจีนยึดครองในปี 2555 และยังคงมียามฝั่งและเรือประมงอยู่ในในบริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา แต่ฟิลิปปินส์ ยึดถือว่า สันดอนแห่งนี้อยู่ภายในรัศมี 200 ไมล์ทะเลของเขตเศรษฐกิจจำเพาะของฟิลิปปินส์ตามที่กำหนดในกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ และได้รับการรับรองจากคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

    News Hub