ไฟนอลคอลล์สำหรับขาช้อป ! โครงการ Easy E-Receipt เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว หลังจากรัฐบาลกดปุ่มสตาร์ทโครงการตั้งแต่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา และใกล้ถึงวันสิ้นสุดโครงการ 15 ก.พ.นี้แล้ว ใครที่ต้องการซื้อสินค้าและบริการสามารถนำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีตามจ่ายจริงได้สูงสุดถึง 5 หมื่นบาท โดย NationSTORY พามาอัปเดตข้อมูลกันอีกครั้งว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไร ซื้อสินค้าอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามไปดูข้อมูลกันเลย
สำหรับมาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐ กิจภายใต้ชื่อ “อีซี่ อี-รีซีท : Easy E-Receipt” ชื่อเดิม คือ e-Refund : อี-รีฟันด์ ซึ่งประชาชนที่ซื้อสินค้าสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือผู้ประกอบการทั่วไปได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท กับร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษี-ใบรับ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt
โดยโครงการนี้เป็นโครงการเสริมทัพดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ซึ่งรัฐคาดหวังว่า มีคนเข้าร่วมโครงการ ประมาณ 1.4 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท กระตุ้นจีดีพี ปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.18 % แม้ว่าภาครัฐจะเสียรายได้ประมาณ 10,850 ล้านบาท แต่จะทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยขยายฐานภาษี และสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต
โครงการ Easy E-Receipt คืออะไร?
- โครงการให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทจากรัฐบาล
ให้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
ㆍ สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
เงื่อนไขโครงการ
ㆍซื้อสินค้าจากร้านค้าที่อยู่ในฐานระบบภาษี ที่สามารถออกใบกำกับภาษีในรูปอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
Easy E-Receipt เริ่มเมื่อไหร่
ㆍ1 ม.ค.-15 ก.พ. 2567
ใครมีสิทธิเข้าโครงการบ้าง
ㆍไม่ได้รับสิทธิ “เงินดิจิทัล 10,000”
ㆍผู้ที่ร่วมโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สามารถเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เพื่อลดหย่อนภาษีได้
ㆍมีรายได้เกิน 70,000 บาทขึ้นไป หรือ มีเงินในบัญชีรวมกันตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป
ㆍ มีรายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท
สามารถใช้จ่ายกับอะไรได้บ้าง
- ซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร สามารถนำมาหักลดหย่อนตามมาตรการนี้ได้
สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วมโครงการมีอะไรบ้าง
1. ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์
2. ค่าซื้อยาสูบ
3. ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
4. ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
5. ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต
6. ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
หลักฐานที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้ได้รับสิทธิ Easy E-Receipt
- กรณีซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) พร้อมต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย
- กรณีซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) พร้อมต้องระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร หรือเลขประจำตัวประชาชน ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วยเฉพาะค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการดังต่อไปนี้
ค่าซื้อหนังสือ หนัง สือพิมพ์ และนิตยสาร ค่าบริการหนังสือ หนัง สือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการนิติบุคคล (ไม่จำกัดรายได้) สามารถจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบบริการ e-Tax Invoice & e-Receipt โดยศึกษารายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ https://etax.rd.go.th
ส่วนผู้ประกอบการนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประ กอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี สามารถจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบบริการ e-Tax Invoice by Email โดยศึกษารายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th/27659.html
Easy e-Receipt มีวิธีการขอคืนภาษีอย่างไร
- รวบรวมใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับภายในปีภาษี 2567 ที่ต้องการนำมาลดหย่อนภาษี
- ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ปี 2568
- ภาษีที่ลดลงจากการหักลดหย่อนภาษีผ่านโครงการ Easy e-Receipt จะแสดงในใบเสร็จรับเงินค่าภาษีเมื่อนำส่งภาษีเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าโครงการ Easy E-Receipt ยื่นลดหย่อนภาษีได้เมื่อไหร่
- ยื่นแบบรายงานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ระหว่างเดือน มกราคม - มีนาคม 2568 มี 2 ช่องทาง ดังนี้
1.ยื่นภาษีในรูปแบบกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ใกล้บ้าน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2568
2.ยื่นภาษีรูปแบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-8 เม.ย. 2568
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญประชาชนต้องศึกษารายละเอียดก่อนออกไปจับจ่าย โดยเฉพาะการคำนวณ “จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้จริง” จากเงิน 50,000 บาทที่จ่ายไป ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ลดหย่อนในจำนวนเท่ากัน เพราะอัตราภาษีเงินได้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยต้องดูตามฐานเงินเดือนหรือเงินได้สุทธิต่อปีของแต่ละคนประกอบด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- หากมีเงินได้สุทธิ ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี (ไม่ต้องเสียภาษี) ดังนั้นแม้จะใช้จ่ายตามโครงการสูงสุด 50,000 บาท ก็จะไม่ได้ลดหย่อนภาษี (ประหยัดภาษี 0 บาท)
- หากมีเงินได้สุทธิ 150,001-300,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 5% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 2,500 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 500 บาท
หากมีเงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 10% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 5,000 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 1,000 บาท
- เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 15% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 7,500 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 1,500 บาท
- เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 20% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 10,000 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 2,000 บาท
- เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 25% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 12,500 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 2,500 บาท
- เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาทต่อปี มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 30% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 15,000 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 3,000 บาท
- เงินได้สุทธิ 5,000,001 ขึ้นไป มีอัตราภาษีที่จะต้องเสีย คือ 35% เมื่อใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 17,500 บาท หรือหากใช้จ่าย 10,000 บาท จะประหยัดภาษีได้จำนวน 3,500 บาท
มาตรการ “Easy E-Receipt” ของรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ถือเป็นหนึ่งในมาตรการความหวัง ที่รัฐบาลต้องการใช้ประคับประคองเศรษฐกิจ ในช่วงที่งบ 67 ยังไม่ออก ซึ่งคงต้องรอกันดูว่า หลังสิ้นสุดโครงการแล้ว รายได้ภาษีที่รัฐยอมเข้าเนื้อ จะคุ้มค่าในการกระตุกเศรษฐกิจในช่วงที่รอมาตรการเรือธงต่าง ๆ ทำคลอดออกมาได้หรือไม่ ....