นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเต็มที่ เพราะตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น การส่งออกโต 5.4% การลงทุนอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้สินค้าส่งออกของเราดีขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวก็ขยายตัว ถือเป็นช่วงเวลาที่ไทยกำลังตั้งไข่และเติบโต แต่ปัญหาสำคัญที่เรายังเผชิญอยู่คือเรื่องหนี้ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เพราะประชาชนยังมีรายได้น้อย กำลังซื้อต่ำ ที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี GDP เฉลี่ยโตเพียง 1.9% ขณะที่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นความท้าทายที่เราต้องแก้ไข จึงอยากให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่เพียงแค่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงการให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์แก่รัฐบาล ในการหาทางออกและมาตรการที่เหมาะสมในการลดปัญหาหนี้ ทั้งในระดับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
“ในด้านการค้าการที่ไทยสามารถเจรจา FTA กับกลุ่ม EFTA ได้สำเร็จ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เราเพิ่งปิดดีล FTA กับภูฏาน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น และสะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการขยายเครือข่ายการค้าเสรี ส่วนเรื่อง FTA ไทย-EU ผมอยากให้ภาคเอกชนสบายใจว่ารัฐบาลกำลังเร่งผลักดันการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ความคืบหน้าเป็นไปตามแผนและจะมีการเจรจารอบที่ 5 ในปลายเดือนนี้ ซึ่งเราคาดหวังว่าจะสามารถปิดดีลให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ FTA ไทย-เกาหลีใต้ ก็มีแนวโน้มจะสรุปผลได้ภายในปลายปีนี้เช่นกัน” นายพิชัย กล่าว
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า หอการค้าไทยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันนโยบายและแก้ไขอุปสรรคด้านการค้า โดยเฉพาะประเทศยุทธศาสตร์ที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย พร้อมสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ หอการค้าไทยขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะท่านพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการส่งออกน้ำเชื่อมและน้ำตาลผสมล่วงหน้า รวมถึงทุเรียนจากไทยไปจีน ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ประกอบการ
หอการค้าไทย ได้นำเสนอปัญหาของสมาชิกถึงผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าทุเรียนไปจีน และปัญหาผลกระทบของผู้ประกอบการผลิตน้ำเชื่อมจากทางการจีนระงับการนำเข้าสินค้าจากไทย เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าสินค้าบางส่วนมีสุขอนามัยไม่ได้เกณฑ์มาตรฐาน เป็นต้น โดยหอการค้าไทย ได้ติดตามและได้นำเสนอข้อเสนอต่อ นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และต้องขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะท่านพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำข้อเสนอของหอการค้าไทยไปหารือร่วมหารือกับอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อจะเร่งรัดการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมภาพลักษณ์ทีดีให้กับสินค้าเกษตรไทย
นอกจากนั้น จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐฯ กับทั่วโลก ทำให้หลายประเทศต้องหันมาพึ่งพาตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนและไทยมากขึ้น หอการค้า จึงได้เสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการควบคุมและกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด ซึ่งเคยได้เสนอไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่มีราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) ภาครัฐควรมีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดไทย โดยกำหนดให้สินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี ในส่วนของสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้วรัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษี การตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยอาจกำหนดมาตรการปกป้องธุรกิจภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของสินค้าต่างชาติ และทบทวนกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้ หอการค้าไทยได้เสนอแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการค้าและลดอุปสรรคทางการค้า อาทิ การพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อลดแรงกดดันด้านดุลการค้า การกำหนดมาตรการป้องกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน การเร่งเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อขยายตลาดส่งออก การแก้ปัญหาการส่งออกสินค้าไปยังรัสเซีย โดยเฉพาะสินค้าประมงและอาหารสัตว์เลี้ยง การขยายตลาดไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยเน้นเศรษฐกิจฮาลาลและโครงสร้างพื้นฐาน การกระชับความร่วมมือไทย-เวียดนาม โดยผลักดันให้ความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership)
ทั้งนี้ ในปี 2568 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน หอการค้าไทยจึงร่วมกับหอการค้าไทย-จีน และสมาคมวิสาหกิจจีนในประเทศไทย จัดงาน Thailand-China Cooperation Expo 2025 ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ณ อิมแพค เมืองทองธานี โดยภายในงานจะมีนิทรรศการแสดงสินค้า ครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหารและซัพพลายเชน งาน Job Fair และ Education Fair รวมถึงสัมมนาเชิงลึกด้านเศรษฐกิจและการลงทุน และงานกาลาดินเนอร์เชื่อมความสัมพันธ์ภาคธุรกิจไทย-จีน "เรามุ่งหวังว่างานนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน และปูทางสู่ปีที่ 51 ของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน" ดร.พจน์ กล่าว
นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวสรุปว่า “หอการค้าไทยพร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐในการผลักดันนโยบายด้านการค้าและการลงทุน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของภาคธุรกิจไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” และได้ทิ้งท้ายว่าการประชุมในลักษณะนี้ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะมีส่วนช่วยให้การทำงานระหว่างทั้งสองหน่วยงานดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน และจะช่วยให้ส่งเสริมการค้าและการลงทุนให้ก้าวหน้าไปได้ผ่านช่วงที่มีความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลงสูงอย่างในปัจจุบัน