นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงแผนผลักดันตลาดหุ้นไทยกลับน่าสนใจและมีแวลูเพิ่มขึ้น ผ่านแผนงานระยะสั้น - กลาง และยาว เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังตลาดหุ้นเผชิญความผันผวน ซึ่งจะมีส่วนที่สร้างแรงจูงใจจากภาครัฐเข้ามาช่วย แผนระยะสั้นประกอบด้วยสร้างความเท่าเทียมและเข้าถึงทุกกลุ่มนักลงทุน Co-location ภายในไตรมาส 2 ปี 2567
ปรับให้เป็นบริการพื้นฐานเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ลงทุนทุกกลุ่ม เป็นบริการพื้นฐานที่บริษัทหลักทรัพย์สามารถใช้บริการฟรี มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้สามารถได้ประโยชน์จากบริการนี้
สำหรับการติดตั้งเครื่องเซิฟเวอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเชื่อมต่อส่งคำสั่งซื้อ-ขาย รับบริการข้อมูลราคา และระบบ Back Office ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดสัญญาซื้อขายสัญญาล่วงหน้า ซึ่งมีโบรกเกอร์มากกว่าครึ่งให้ความสนใจเข้ามาติดตั้ง แม้จะทำให้รายได้ค่าบริการลดลงแต่สามารถทำให้นักลงทุนเข้าถึงการซื้อขายเท่ากันทุกกลุ่มมีผลดีในระยะยาว
การหารือคงสิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุน LTF มาอยู่ในกองทุน ThaiEsg กับทางกระทรวงการคลัง หลังจากที่ผ่านมาเผชิญแรงขายไถ่ถอนจากถือครองครบอายุทั้งหมดเพื่อเข้ามาช่วยเสริมความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับตลาดหุ้น หากให้เงินยังไหลออกไปมีผลต่อผลตอบแทนลงทุนช่วงตลาดผันผวนหนัก
แผนระยะกลาง แบบสมัครใจ “Jump +” หรือการผลักดันให้ บจ. ไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการให้เสนอแผนเติบโตภายใน 3 ปี และมีการรายงานความคืบหน้าตามแผนรายไตรมาสให้กับนักลงทุนได้รับทราบในงาน Opp Day ด้วยการจูงใจยกว้นภาษีกำไรส่วนเกินระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมในตลาดหุ้นเพิ่ม
ส่วนบจ.ที่สนใจจะเข้าซื้อกิจการนอกตลาดหุ้นเพื่อเพิ่มการเติบโตเสนอไม่เก็บภาษีย้อนหลังควบรวมกิจการ ( M&A ) เพื่อลดความกังวลใจปัญหาบัญชี 2 เล่ม จนทำให้การซื้อกิจการไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งขึ้น แข่งขันได้ทั่วโลก เพิ่มประสิทธิผล รวมทั้งลดต้นทุนธุรกิจ
ขณะเดียวกันตลท. มีการพิจารณาคุณสมบัติบจ.เพิ่มเติม เช่นไม่ถูกกล่าวโทษจากก.ล.ต. หรือตลท.ขึ้นเครื่องหมาย C เป็นต้น คาดว่าเบื้องต้นมีบจ.ที่สนใจ 50 บริษัทด้วยมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/B) ถึง 63 % ทั้งตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าสามารถดำเนินการได้เดือนพ.ค. ก่อนที่บจ. มีการจัดทำแผนธุรกิจภายในไตรมาส 3 ซึ่งจะมีการนำเสนอแผนงานดังกล่าวกับทางคลังภายในเดือนก.พ. นี้
โครงการดังกล่าวหัวใจหลักของโครงการ 4 ด้าน คือ 1. Growth 2. Visibility 3. Incentive 4. Trust & Confidence โดยจะมี Incentive ที่ให้กับบริษัทที่ร่วมโครงการและบริษัทที่สามารถพัฒนาได้ตามแผนที่วางไว้ อาทิ การสนับสนุนค่าที่ปรึกษา หรือ FA การ roadshow ทั้งในและต่างประเทศ หรือการหารือแนวทางสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกำไรที่ทำได้เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
เบื้องต้นทางคลังเปิดทางทุกมาตรการภายใต้เงื่อนไขต้องไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ในปัจจุบัน ดังนั้น บจ. เข้าแผน Jump + ถ้าทำได้จริงมีกำไรเกิดขึ้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจ และระยะยาวคลังได้ธุรกิจที่ทำกำไรเติบโตเพิ่มรายได้เข้าคลังได้
แผนระยะยาวทำงานรวมกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อดึงบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มความหลากหลายและความน่าสนใจ และยังผลักดันมูลค่าตลาดหุ้นไทย และสร้างจุดเด่นจากธุรกิจที่แข็งแรงในไทยเป็น "Listing Hub” หรือศูนย์รวมในการระดมทุนของบริษัทในภูมิภาคและทั่วโลก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย สร้างความง่ายในการประกอบธุรกิจ (ease of doing business)
สำหรับมาตรการด้านอื่นยังดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งการเปิดเผยข้อมูลผู้บริหารและผู้ถือหุ้นที่นำหุ้นไปจำนำ เพราะเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญและนักลงทุนควรได้รับทราบและทางก.ล.ต. ได้เตรียมปรับเกณฑ์การเปิดเผยให้มีความเหมาะสม การพิจารณาเกณฑ์ Uptick Rule ว่ายังมีความเหมาะสมการใช้อยู่หรือไม่ และชี้แจงกับนักลงทุนได้ว่าหากยกเลิกจากเงื่อนไขอะไร เนื่องจกช่วงที่ตลาดเผชิญแรงขายมีความกังวลจาก short sell สูง 15-16 %ปัจจุบันอยู่ที่ 4% หากยังคงมาตรการนี้จะใช้กับหุ้นทุกตัวอย่างในปัจจุบันหรือพิจารณาเป็นรายหุ้นแทน
รวมทั้งปรับเกณฑ์การซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock กลไกช่วยให้มูลค่าของกิจการสะท้อนได้อย่างเหมาะสมหารือร่วมกับ ก.ล.ต. และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปรับกฎเกณฑ์ของระยะเวลาการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนให้สะดวก คล่องตัว และเหมาะสม จากกำหนดขายคืนภายใน 6 เดือน และซื้อคืนหุ้นไม่เกิน 10 % เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยศึกษาจากกฎเกณฑ์ของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ ซึ่งหากทั้ง 3 หน่วยงานเห็นพ้องกันก็น่าจะใช้เวลาไม่นาน