นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้หารือกับนายแพทริก เฮมเมอร์ (H.E. Mr. Patrick Hemmer) เอกอัครราชทูตราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตนได้เชิญชวนให้ลักเซมเบิร์กขยายการลงทุนในไทย และลงทุนเพิ่มเติมในสาขาที่ลักเซมเบิร์กมีศักยภาพ และเอกอัครราชทูตได้แจ้งความสนใจของบริษัทลักเซมเบิร์กในการลงทุนอุตสาหกรรมอุปกรณ์เซนเซอร์รถยนต์ในไทย ทั้งนี้ ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่มีจุดแข็งในการให้บริการทางด้านการเงินและการธนาคาร เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของยุโรป (Investment Fund) ปัจจุบันมีการลงทุนในไทยหลายอุตสาหกรรมเช่น โลจิสติกส์ (บริษัท Cargolux) ดาวเทียม (บริษัท SES) เหล็ก (บริษัท AcelorMittal) และกระจก (บริษัท Guardian Glass)
นอกจากนี้ ยังได้ขอให้ลักเซมเบิร์กในฐานะประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) สนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-อียู เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้โดยเร็ว โดยเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอียู 27 ประเทศ รวมถึงลักเซมเบิร์กด้วย ซึ่งเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กได้แจ้งพร้อมให้การสนับสนุนในประเด็นดังกล่าว และหวังว่าลักเซมเบิร์กจะเป็นประตูของสินค้าไทยสู่ตลาดอียู
นายพิชัยเพิ่มเติมว่า นายชอง รีส์ (Mr. Jean Ries) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการรัฐและสาธารณะของบริษัท Guardian Glass Europe ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลักเซมเบิร์ก ได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในไทย โดยบริษัทลงทุนในไทยตั้งแต่ปี 2535 มีโรงงาน 2 แห่ง ณ จังหวัดสระบุรีและจังหวัดระยอง ผลิตกระจกเคลือบสำหรับอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย และรถยนต์ โดยบริษัทตั้งใจจะลงทุนในไทยเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ได้เผชิญปัญหาจากราคาพลังงานสูง การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากระจกโฟลตของจีนไทเป และการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นของมาเลเซีย ซึ่งตนได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหารืออย่างใกล้ชิดกับบริษัทเพื่อหาแนวทางดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็ว
ปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) ลักเซมเบิร์กเป็นคู่ค้าอันดับ 161 ของไทย การค้ารวมมีมูลค่า 12.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 0.0028 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 31.10 โดยไทยส่งออก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 59.47 และไทยนำเข้า 9.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 11.72 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า 6.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น (1) หลอดไฟฟ้า (5) (2) สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ (3) ประทีปโคมไฟ (4) ผลิตภัณฑ์ยาง
(5) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (6) อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ (7) เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร (8) ยานพาหนะอื่น ๆ และส่วนประกอบ (9) ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และ (10) อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น (1) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (2) เคมีภัณฑ์ (3) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (4) สินค้าทุนอื่น ๆ (5) เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ (6) ส่วนประกอบอุปกรณ์ยานยนต์ (7) ผลิตภัณฑ์โลหะ (8) ผ้าผืน (9) รถไฟ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และ (10) ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก