ตั้งแต่ต้นปี 2024 มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เราได้เห็นกระแสความไฮป์ของคนดู นับตั้งแต่มีการประกาศฉายในประเทศบ้านเกิด ตามมาด้วยการแจ้งฉายในเทศกาลภาพยนตร์ในไทย ที่เกิดปรากฏการณ์ตั๋วภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวขายหมดในเวลาราว 10 นาที ขนาดมีการเพิ่มรอบแบบทันท่วงทีก็ยังมีคนมาจองจนเต็มปรี่อีกครั้ง
ภาพยนตร์เรื่องที่ว่าคือ Mobile Suit Gundam SEED Freedom (2024) ผลงานที่เว้นวรรคการฉายจากภาคก่อนหน้าถึง 18 ปี ซึ่งก็พอเป็นสาเหตุข้างต้นได้ว่า ทำไมแฟนคลับของผลงานเรื่องนี้ถึงไฮป์หรือตื่นเต้นกันสุดๆ
แต่ก่อนที่เราจะพูดคุยถึงตัวเนื้อหาของภาพยนตร์ ขอแวะเวียนมาพูดเกี่ยวกับจักรวาลกันดั้มกันเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังสับสนกันอยู่ ด้วยความที่แฟรนไชส์นี้มีเนื้อหาออกมาแล้วหลายภาคเหลือเกิน ซึ่งตามปกติกันดั้มจะถูกแบ่งออกเป็นหลายจักรวาล โดยจะมีจักรวาลเด่นเป็น จักรวาลศักราชอวกาศ (Universal Century) กับจักรวาลอื่นๆ ซึ่ง Mobile Suit Gundam SEED Freedom นั้นจะอยู่ใน จักรวาลคอสมิกอีรา (Cosmic Era)
และตัวภาพยนตร์ในเฟรนไชส์กันดั้มก็แบ่งง่ายๆ ได้สองแบบ คือ ภาคที่มีเนื้อหาอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่คนดูไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องก่อนหน้ามากเท่าไหร่ กับภาคที่มีเนื้อหาอยู่ในจักรวาลเดียวกันและมีความต่อเนื่องกับเนื้อหาก่อนหน้าอย่างยิ่ง
ซึ่งตัว Mobile Suit Gundam SEED Freedom เป็นภาพยนตร์ประเภทหลัง ซึ่งปกติแล้วมักเว้นวรรคการฉายกับภาคก่อนหน้าไม่นานเพื่อให้คนดูยังรู้สึกต่อกันติดระหว่างซีรีส์และภาพยนตร์
แต่ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเว้นการฉายไปนานเกือบ 20 ปี เกิดจากการที่ คุณชิอากิ โมโรซาวะ (Chiaki Morosawa) ผู้เขียนบทหลักมีปัญหาด้านสุขภาพ ไม่สามารถโฟกัสกับการเขียนบทเท่าที่เธอต้องการ (ก่อนจะเธอจะเสียชีวิตในปี 2016) ผสมรวมกับเหตุผลอื่นๆ ทำให้การสร้างภาพยนตร์ถูกระงับไประยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งในช่วงเวลาเกือบสองทศวรรษนั้นทาง Sunrise ผู้สร้างกันดั้ม ก็ได้สร้างผลงานภาคใหม่ในจักรวาลใหม่ อย่างน้อย 4 จักรวาล และออกฉายจนเนื้อหาจบไปแล้ว ทำให้แฟนของจักรวาลคอสมิกอีราก็เริ่มทำใจว่าภาพยนตร์ภาคต่ออาจจะไม่มีอยู่จริง แม้ว่าความนิยมชมชอบต่อตัวละครและหุ่นยนต์จากคอสมิกอีราจะไม่ได้ล้มหายตายจากไปก็ตาม
จนเวลาผ่านมาสู่ปี 2021 ณ วันที่ Bandai Namco บริษัทแม่ของ Sunrise ได้ทำการสร้าง Freedom Gundam หุ่นเด่นจาก Mobile Suit Gundam SEED ขนาดเท่าของจริงที่ศูนย์การค้า ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในวันเปิดตัวหุ่นดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ทีมงานก็ได้ประกาศข่าวที่แฟนกันดั้มไม่คาดคิด นั่นคือภาพยนตร์ภาคต่อในจักรวาลคอสมิกอีรายังอยู่ในขั้นตอนการสร้าง โดยตัวภาพยนตร์ได้ คุณมิตซูโอะ ฟูคาดะ (Mitsuo Fukuda) ผู้กำกับคนเดิม ที่นำเอาเนื้อเรื่องที่ภรรยาของเขาร่างไว้ มาปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
แม้ว่านี่นะเป็นข่าวดี แต่ก็มีความแคลงใจเกิดขึ้นในหมู่ผู้รอชมภาพยนตร์ เพราะเวลาที่ผันผ่านน่าจะทำให้มีอะไรเปลี่ยนไปไม่น้อย
หลังจาก Sunrise ปล่อยตัวอย่างแรกออกมาให้รับชมกัน คนดูที่ติดตามเฟรนไชส์ก็ได้เห็นว่า ภาพยนตร์ Mobile Suit Gundam SEED Freedom ถูกสร้างด้วยการนำเอาเทคโนโลยียุคปัจจุบัน ที่ผสมผสานภาพวาดสองมิติกับภาพคอมพิวเตอร์สามมิติ อย่างไรก็ตาม แฟนคลับของอนิเมะชุดนี้ยัง รู้สึกว่าการผสมผสานกันยังมีความแปลกตาอยู่บ้าง
จนกระทั่งตัวอย่างภาพยนตร์ฉบับเต็มออกมาให้รับชม งานภาพนั้นมีความสมบูรณ์มากขึ้น และในตัวอย่างหนังยังเปิดเผยว่า นักพากย์ชุดเก่ากลับมารับบทเดิมของตัวเองกันเกือบครบถ้วน มิหนำซ้ำยังมีนักพากย์มืออาชีพเข้ามาร่วมสมทบอีกหลายท่าน รวมถึงมี วิน โมริซากิ (Win Morisaki) ศิลปินชาวเมียนมาที่ทำงานในญี่ปุ่นมานาน และเคยแสดงภาพยนตร์ Ready Player One (2018) มาร่วมรับบทในหนังเรื่องใหม่
ทางทีมผู้สร้างภาพยนตร์ยังสร้างความไฮป์ผ่านเสียงเพลง ด้วยการดึงตัวศิลปินนักร้องที่เคยร่วมงานกับ Gundam SEED มาก่อน ให้กลับมาร้องเพลงของตัวภาพยนตร์ ซึ่งมีทั้ง ทาคาโนริ นิชิคาวะ (Takanori Nishikawa) หรือ T.M.Revolution กลับมาทำหน้าที่ร้องเพลงเปิด, วงดนตรี See-Saw กลับมาร้องเพลงใหม่ในรอบสองทศวรรษ, มิกะ นากาชิมะ (Mika Nakashima) มาร่วมร้องเพลงเสริมในเรื่อง, และยังดึงเอา นามิ ทามากิ (Nami Tamaki) มาร่วมร้อง ‘เพลงสนับสนุนอย่างเป็นทางการ’ อีกหนึ่งเพลงด้วย
เนื้อเรื่องของ Mobile Suit Gundam SEED Freedom เกิดขึ้นใรปีคอสมิกอีราที่ 45 หรือประมาณเกือบสองปีให้หลังจากเหตุการณ์ใน Mobile Suit Gundam SEED Destiny แม้ว่ามหาอำนาจในโลกจะพยายามจับมือกันรักษาความสงบเอาไว้ แต่กลุ่มนักค้าอาวุธก็ยังพยายามก่อความวุ่นวายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ด้วยเหตุนี้ชาติมหาอำนาจจึงรวมตัวกันก่อตั้ง คอมพาส (COMPS - Compulsory Observational Making Peace Service) องค์กรรักษาความสงบ ที่ ‘ลักส์ ไคลน์’ ได้ตอบรับคำเชิญมาเป็นผู้นำ ส่วน ‘คิระ ยามาโตะ’ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยสู้รบขององค์กรดังกล่าว
การต่อสู้ที่เหมือนจะไม่มีวันจบลงทำให้ คิระเกิดคำถามในใจว่าเขาจะต้องต่อสู้ไปอีกยาวนานขนาดไหน และภารกิจใหม่ของคอมพาส นำพาให้พวกเขาต้องเดินทางไปยัง ฟาวน์เดชั่น (Foundation) ประเทศเล็กๆ ที่เพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน แต่มีอำนาจด้านการทหารและเศรษฐกิจที่เติบโต โดยประเทศดังกล่าวแจ้งว่ามีข้อมูลที่อยู่ผู้นำของกลุ่มค้าอาวุธ
แต่เรื่องดังกล่าว อาจจะเป็นชนวนทำให้โลกต้องตกลงไปในวังวนแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง
จากเรื่องย่อเบื้องต้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า Sunrise เจตนาวางพล็อตเรื่องให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้คนดูภาคเก่ากลับมาต่อติดกับหนังได้ทันทีตั้งแต่นาทีแรกของเรื่อง ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าไม่เคยดู Gundam SEED กับ Gundam SEED Destiny มาก่อนอาจจะมีความมึนงงสักหน่อย ถึงช่วงต้นของหนังจะปูพื้นให้เล็กน้อยก็ตาม
ถ้าให้เทียบกันกับเรื่องอื่นๆ ในวงการภาพยนตร์ Mobile Suit Gundam SEED Freedom นับว่ามีความใกล้เคียงกับ Avengers: Endgame (2019) อยู่มาก ทั้งการทำหน้าที่เป็นบทส่งท้ายให้กับตัวละครที่แฟนๆ คลั่งไคล้, อัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ที่เมามัน, ใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการสร้างงานภาพ, และมีการเขียนบทพูดของตัวละครให้ระลึกถึงผลงานในอดีตตลอดเรื่อง
องค์ประกอบที่ว่าไปทั้งหมดอาจจะไม่ได้ทำให้หนังทุกเรื่องน่าเข้าไปตามไฮป์ ตามกรี๊ด หากผู้สร้างไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความรักต่อตัวผลงานต้นฉบับ และความเคารพต่อแฟนคลับที่เฝ้ารอคอยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายเป็นความจริง
จึงไม่แปลกนัก หากใครที่ไปรับดูหนังเรื่องนี้แล้วจะได้ยินเสียงปรบมือกและเสียงหัวเราะจากแฟนๆ ที่เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องตลอดทั้งเรื่อง เพราะมันสมราคาที่พวกเขารอมาเกือบ 20 ปี