svasdssvasds
เนชั่นทีวี

lifestyle

‘Monster’ เสียงโหยหวนอันกึกก้องของสัตว์ประหลาด

Monster (2023) คือหนังที่ ฮิโรคาซุ โคเรเอดะ หวนกลับมากำกับในบ้านเกิดอีกครั้ง และยังเลือกท้าทายตัวเองด้วยการทำหนังที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากบทที่เขาเขียนขึ้นเอง แต่เป็นบทจากปลายปากกาของ ยูจิ ซากาโมโตะ ที่ล่าสุด คว้ารางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Monster

 

กล่าวกันว่า Monster (2023) เป็นทั้งหนังที่ ฮิโรคาซุ โคเรเอดะ (Hirokazu Kore-eda) หวนกลับมา 'คืนรัง' อีกครั้งหลังห่างหายไปกำกับหนังที่ไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นอันเป็นภาษาบ้านเกิดของเขาเสียหลายปี และเป็นทั้งหนังที่เขา 'ห่างไกล' จากความคุ้นชินเดิมๆ อีกเช่นกัน เมื่อมันเป็นหนังที่เขาไม่ได้เขียนบทเองในรอบเกือบสามทศวรรษ

 

และมันก็ยังเป็นหนังที่ท้าทาย งดงาม เปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจของความเป็นมนุษย์อย่างที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของเขาเช่นกัน ด้วยการไล่ตามเส้นเรื่องอันแสนอ่อนไหวและเปราะบางของคนตัวเล็กตัวน้อยผู้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบกรงอันมองไม่เห็นของสังคม ในความแสนละเมียดที่ไต่เลาะชะตากรรมของตัวละครนี้ Monster ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานด้านการสร้างภาพยนตร์ ทั้งในแง่การกำกับ บทภาพยนตร์ การตัดต่อไปจนถึงการแสดงที่ค่อยๆ ดึงคนดูให้เป็นเสมือนหนึ่งใน 'ผู้สังเกตการณ์' ของตัวหนัง

 

Monster (2023)

Monster เริ่มเรื่องจากเปลวเพลิงที่ลุกท่วมในอาคารแห่งหนึ่งกลางดึกสงัด ซาโอริ (ซากุระ อันโดะ) แม่เลี้ยงเดี่ยวเฝ้ามองการดับเพลิงอย่างตื่นตาตื่นใจ ขณะที่ มินาโตะ (โซยะ คูโรคาวะ) ผู้เป็นลูกชายเฝ้ามองอยู่เงียบๆ หนังฉายให้เห็นชีวิตประจำวันอันแสนเรียบสงบของสองแม่ลูก การรำลึกและสนทนากับพ่อผู้จากไปของมินาโตะ การใช้ชีวิตอยู่กับข่าวลือและเสียงกระซิบกระซาบของซาโอริ ผู้ที่ในเวลาต่อมาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของลูกชาย เป็นต้นว่าบาดแผลที่แขนขา หรือการตัดผมหยักศกของตัวเองทิ้ง ซึ่งชวนให้เธอเข้าใจว่าเขาน่าจะถูกเพื่อนร่วมชั้นแกล้ง ทว่า เมื่อคาดคั้นเอาคำตอบเข้า เธอกลับพบว่าตัวการที่แท้จริงคือ โฮริ (เออิตะ นางายามะ) คุณครูหนุ่มที่โรงเรียนที่เธอไม่เคยพบหน้ามาก่อน และยิ่งซาโอริพยายามสางปัญหาด้วยการเดินเรื่องเข้าพบคณะคุณครูที่โรงเรียน ก็ราวกับจะมีแต่เรื่องที่ทำให้เธอ (และคนดู) ต้องชอกช้ำเจ็บปวด เมื่อครูโฮริมีบุคลิกเพี้ยนประหลาด พูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำหรือขาดมารยาทขั้นพื้นฐาน แม้แต่ครูใหญ่เองก็ยังขอโทษเธอกับลูกชายอย่างขอไปที

ขณะที่ความโกรธเคืองของซาโอริและคนดูที่มีต่อโฮริกับครูใหญ่พุ่งขึ้นสูงลิ่ว หนังกลับตัดสลับไปเล่าเส้นเรื่องผ่านสายตาของโฮริ ชายผู้มีนิยมเฟ้นหาคำผิดในหนังสือและนิตยสาร เลี้ยงปลาทองที่มีภาวะเสียการทรงตัว เขาเป็นครูใหม่ที่ยังไม่สนิทกับใครในเมืองมากนักและมักจะใช้เวลาหลังเลิกงานอยู่กับแฟนสาว ระหว่างนั้น เขาดูเข้ากับเด็กๆ ได้ดีและพยายามตั้งใจทำงานของตัวเองเต็มที่ รวมทั้งการพยายามปกป้อง โยริ (ฮินาตะ ฮิอิรางิ) นักเรียนชายที่เพิ่งย้ายมาใหม่ผู้ดูจะตกเป็นเหยื่อของการรุมแกล้งของเด็กชายคนอื่นๆ ในโรงเรียน รวมทั้งมินาโตะที่เขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าอาละวาดขว้างปาข้าวของเพื่อนในห้องพังเละเทะ จนเขาต้องใช้กำลังปรามเด็กชายและยังผลให้ทำเด็กบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

Monster (2023)

 

ถึงตรงนี้ ความเคียดแค้นที่คนดูมีต่อโฮริจางหายไป และหนังก็ดูจะเบนเป้ามาเป็นหนังที่พูดเรื่องการกลั่นแกล้งรังแกในรั้วการศึกษา (ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่หนังหลายต่อหลายเรื่องในระยะหลังนิยมเล่ากัน) ก่อนที่ตัวบทจะตัดสลับเข้าสู่เส้นเรื่องของมินาโตะกับโยริ อันเป็นเส้นเรื่องที่ปราศจากการจับจ้องและทัศนคติของผู้ใหญ่รอบตัว และนี่เองที่คนดูได้เห็นความเหนือชั้นของบทภาพยนตร์และการตัดต่อ กล่าวคือหนังทำให้คนดูกลายเป็น 'ผู้ตัดสิน' เช่นเดียวกับที่ซาโอริตัดสินเหล่าคุณครูผ่านสายตาของเธอ หรือที่โฮริเองตัดสิน 'พวกแม่เลี้ยงเดี่ยว' ตามประสบการณ์ของเขา และยังผลให้ตัวละครอื่นๆ แปรสภาพไปตามทัศนคติของแต่ละเส้นเรื่องด้วย เช่น คนดูจะพบว่าโฮริในสายตาของซาโอรินั้นดูไม่ปกติจนไม่น่าจะมาเป็นครูได้ตั้งแต่แรก ทว่า เมื่อหนังเดินเรื่องเข้าสู่องก์ที่สองซึ่งเล่าผ่านเลนส์ของโฮรินั้น เขาดูเป็นคนปกติที่มีงานอดิเรกแปลกๆ เท่านั้น เช่นเดียวกัน กล่าวคือคนดูก็เบนความเกลียดชังไปตามที่แต่ละเส้นเรื่องกำหนด แรกเริ่ม เราอาจโมโหโฮริและคุณครู ก่อนที่ต่อมา เราจะไม่พอใจมินาโตะที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น

 

ความทรงพลังจึงอยู่ในเส้นเรื่องที่สามซึ่งเล่าผ่านสายตาของมินาโตะกับโยริ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก่อตัวขึ้นรวดเร็วและแสนพิเศษ พื้นที่ส่วนตัวของทั้งสองคือรถไฟซึ่งถูกทิ้งร้างอยู่ในป่าเล็กๆ ด้านหนึ่ง พวกเขามีจุดร่วมเหมือนกันคือการพินิจภาพแทนของพ่อในฐานะคนที่พวกเขาไม่ได้ชื่นชมนัก (แม้สังคมจะบอกให้ชื่นชมก็ตามที) พ่อของมินาโตะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลังไปดื่มกับสาวนั่งดริงก์ ส่วนพ่อของโยรินั้นก็กล่าวหาว่าลูกชายตัวเองป่วยไข้ มีสมองของหมูและเป็นเหตุที่ทำให้แม่หนีไป พวกเขาจึงไม่ได้ชื่นชมความเป็นพ่อและพยายามออกห่างจากความเป็นชายในรูปลักษณ์ที่สังคมกำหนด ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงบึกบึน หรือการสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง 
 

Monster (2023)

 

ก่อนหน้านี้ โครีเอดะมุ่งหน้าขยับขยายเขตแดนการทำหนังของตัวเองด้วยการกำกับหนังที่ไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นจาก The Truth (2019) หนังร่วมทุนสร้างสามสัญชาติ ได้แก่ ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่น-สวิตเซอร์แลนด์ ว่าด้วยสายสัมพันธ์ของครอบครัวคนเขียนบทหญิงกับแม่ผู้เป็นนักแสดง และ Broker (2022) หนังสัญชาติเกาหลีใต้ซึ่งจับจ้องไปยังกลุ่มทำธุรกิจค้าเด็กทารกกับหญิงสาวคนหนึ่ง และความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นเงียบเชียบระหว่างการออกเดินทาง และในปีนี้ เขาหวนกลับมากำกับหนังในบ้านเกิดอีกครั้ง หากก็ยังเลือกท้าทายตัวเองอยู่ด้วยการทำหนังที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากบทที่เขาเขียนขึ้นเอง แต่เป็นบทจากปลายปากกาของ ยูจิ ซากาโมโตะ คนเขียนบทจาก Crying Out Love in the Center of the World (2004) ซึ่งตัวหนังเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที Japanese Academy Awards ซึ่งถือเป็นเวทีประกาศรางวัลเวทีใหญ่ที่สุดของฝั่งญี่ปุ่น และล่าสุด Monster ส่งซากาโมโตะคว้ารางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ถือเป็นคนเขียนบทชาวญี่ปุ่นลำดับที่สองที่คว้ารางวัลนี้ (คนแรกคือ ริวสุเกะ ฮามากุจิ และ ทากามาสะ โอเอะ จากเรื่อง Drive My Car, 2021) ขณะที่ตัวโคเรเอดะเองชิงรางวัลปาล์มทองคำ จากหนังซึ่งห่างไกลจากขนบเดิมๆ ที่เขาเคยทำ ไม่ว่าจะประเด็นของตัวหนังที่ขยับออกมาจากเรื่องครอบครัวอันเป็นประเด็นที่เขาถนัด หรือแม้แต่ไวยากรณ์ของหนังที่สลับซับซ้อนกว่าที่เขาเคยทำก็ตามที

 

ทั้งนี้ เงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ Monster งดงามและสั่นสะเทือนหัวใจคนดูอย่างยิ่งคือจังหวะการเร้นงำและเผยความจริง ตลอดทั้งเรื่อง หนังเผยให้คนดูเห็นในสิ่งที่ตัวละครเห็นกับสิ่งที่ปรากฏ ฉากที่เล่นกับประเด็นนี้ชัดอย่างยิ่งคือฉากที่ซาโอริลอบมองครูโฮริกับนักเรียน ตัดสลับมายังฉากที่ครูถูกนักเรียนพาไปดูซากแมวซึ่งเธออ้างว่ามินาโตะเล่นกับมัน และฉากที่โยริกับมินาโตะเดินมาพบซากแมวที่ตายอยู่ก่อนแล้ว ความจริงจึงเป็นสิ่งที่ไหลตามสายตาตัวละคร และคนดูก็เอนเอียงไปตามนั้น เราจึงไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกไปเสียจากผู้สังเกตการณ์โศกนาฏกรรมที่กำลังก่อตัวขึ้น

 

รวมทั้งฉากที่บาดหัวใจที่สุด เมื่อตลอดทั้งเรื่อง คนดูจะได้ยินเสียงโหยหวนชวนประหลาดที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเสียงของอะไร นักเรียนและคุณครูคนอื่นๆ ในโรงเรียนก็เช่นกัน ทุกครั้งที่เสียงนั้นระเบิดตัวขึ้น พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามองหาต้นเสียง พยายามทำความเข้าใจ และจากไปในที่สุด ก่อนที่ตัวหนังจะเฉลยในองก์สุดท้าย ถึงเสียงทรอมโบนกับเฟรนช์ฮอร์นที่ตัวละครผู้เก็บงำความชอกช้ำในการจะมีชีวิต ระบายทุกความลับและทุกความอัดอั้นของพวกเขาไว้ในสุ้มเสียงนั้น เป็นเสียงของสัตว์ประหลาดที่โหยหวนดังกึกก้องให้ได้ยินทั้งโรงเรียนแต่ไม่มีใครฟังเข้าใจ

 

Monster (2023)

 

หนังอุทิศองก์สุดท้ายของเรื่องให้แก่ความสัมพันธ์ของเด็กชายทั้งสอง เด็กผู้ที่ต้องเติบโตมาในโลกที่บอกให้พวกเขาแข็งแกร่งเพื่อจะได้ 'สมชายชาตรี' และอย่ารู้จักชื่อดอกไม้บนภูเขาเพราะเด็กผู้ชายที่เท่ๆ ย่อมไม่รู้จักชื่อสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ของเด็กผู้หญิง โลกที่การแสดงความเป็นชายคือการไปเที่ยวบาร์กับหญิงอื่น และคือโลกที่การแสดงความสนใจต่อเพศตรงข้ามเท่านั้นคือสิ่งที่เป็นสัญญะว่าคุณไม่ได้ป่วยไข้ ไม่เช่นนั้นคุณก็เป็นได้แค่คนที่มีสมองของหมู—สัตว์ซึ่งไม่อาจแหงนหน้ามองฟ้าใดๆ ได้

 

Monster อาจไม่ได้เป็นหนังที่มี 'น้ำเสียง' แบบโคเรเอดะมากเท่าเรื่องก่อนๆ อันเนื่องมาจากเขาไม่ได้เขียนบทเอง โดยทั่วไปแล้ว หนังของโคเรเอดะมักว่าด้วยสายสัมพันธ์ของคนนอกสายเลือดที่ประคับประคองกันและกันไว้อันจะพบได้จาก Like Father, Like Son (2013), The Third Murder (2017), Shoplifters (2018) ในทางตรงข้าม คนในครอบครัวต่างหากที่อาจทำลายตัวตนของเราจนเสียสูญ ซึ่งแม้ Monster จะไม่ได้ปรากฏลักษณะนี้โดยตรง หากแต่มันก็ยังพูดถึงความบาดเจ็บทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากคนในสายเลือดอยู่ดี เช่นเดียวกับโยริที่ถูกพ่อซ้อมปางตายเพราะเขาไม่เป็น 'ชายชาตรี' ดังที่พ่อหวังให้เป็น

 

Monster (2023)

 

รถไฟที่ถูกทิ้งร้างจึงเป็นสถานที่เดียวที่เด็กทั้งสองจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันโดยปราศจากกรอบกรงอันมองไม่เห็นเหล่านั้น มินาโตะและโยริมักจะวิ่งจากรถไฟผุพังมายังภูเขากว้าง ไกลออกไปคือสะพานใหญ่—ซึ่งมีประตูเหล็กคั่นไว้—สู่ภูเขาอีกฝั่ง พวกเขามักสนทนาถึง big crunch หรือการดับสูญของจักรวาลซึ่งพวกเขาเฝ้าฝันอยู่ลึกๆ ว่าจะได้เห็น (เพราะมันอาจหมายความถึงการชะล้างทุกสิ่งที่มีบนโลกซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวด้วย) กระทั่งเมื่อพายุลูกใหญ่พัดขึ้นเกาะญี่ปุ่น ทำลายล้างทุกสิ่งราบเป็นหน้ากลอง พัดเอาดินโคลนทับถมทั้งเมือง มีเพียงซาโอริกับโฮริที่ตะเกียกตะกายวิ่งขึ้นภูเขา ควานหาซากร่างเด็กชายทั้งสองท่ามกลางเศษดินและสายฝน ทว่า โลกหลังจาก big crunch คือโลกที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยกันอย่างสงบสุข โลกอันปราศจากการตัดสิน โลกที่ไม่บีบให้พวกเขาต้องรักหรือชอบผู้หญิงคนไหน โลกที่ไม่มีใครบอกว่าพวกเขามีสมองเป็นหมูแค่เพราะว่าใช้ชีวิตไม่ตรงตามที่สังคมบอกให้เป็น เราจึงได้เห็นมินาโตะกับโยริ มุดจากรถไฟเปรอะเปื้อนขึ้นมาสู่ผืนดินแห้งผากและสงบ ไกลออกไปคือสะพานซึ่งไม่มีประตูขวาง และภูเขาไกลลิบที่พวกเขาวาดฝันมาตลอดว่าจะได้ไปถึง