จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม นายสว่าง ซึ่งเปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ดูแลภูบ่อบิดมานานหลายปีจนมาถึงปัจจุบัน และยังเป็นมัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวชมภูบ่อบิดและถ้ำดินเพียง จนเมื่อไม่นานมานี้ ได้พานักท่องเที่ยวไปชมถ้ำดินเพียง เมื่อเดินเข้าไปพบเห็นรอยเท้าลักษณะคล้ายคนแต่เล็กกว่าและมี3นิ้ว จะว่าเป็นรอยเท้าหมีหรือสัตว์ป่าชนิดอื่นก็ไม่ใช่ จึงนึกได้ว่ามีผู้เฒ่าเคยบอกกล่าวกับตนว่าน่าจะเป็นผีกองกอยหรือผีโป่ง
จึงนำภาพไปให้พระอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเห็น บอกว่าเป็นรอยเท้าของผีกองกอยจริงซึ่งผีกองกอยจะมีลักษณะใบหน้าเรียวแหลม รูปร่างลักษณะเหมือนลิง แต่มีขนาดเล็กกว่าลิงหรือลิงลม เชื่ออีกว่าผีกองกอยเป็นผีที่อาศัยอยู่ในถ้ำหรือโพรงไม้ ออกหากินโดยจับปลากินตามลำห้วยหรือแม่น้ำ ผีกองกอยชอบเดินถอยหลัง และพูดอะไรที่ตรงข้ามกับความจริงเสมอ แต่ส่วนใหญ่จะเห็นแต่รอยเท้ามากกว่าหรือในตำนาน เมื่อได้ฟังจึงได้เกิดความเชื่อขึ้นมาทันทีจนนำภาพมาโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค ไม่คิดว่าจะเกิดกระแสจนโด่งดังไปทั่วจังหวัดเลย แต่อย่างไรควรจะใช้ วิจารณญาณ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถามนายสัมฤทธิ์ สุภามา ผอ.วัฒนธรรม จ.เลย ถึงกรณีรอยเท้าผีกองกอยหรือผีโป่ง ภายในถ้ำดินเพียง ภูบ่อบิด ซึ่งนายสัมฤทธิ์ เปิดเผยว่า ดูจากรอยเท้าน่าจะเป็นรอยเท้าสัตว์ประเภทลิงตัวใหญ่มากกว่า หรือจะเป็นค่างก็ได้ ผีกองกอยอดีตเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในป่าในดง แต่ปัจจุบันไม่น่าจะมีแล้วเพราะความเจริญเข้ามา
ส่วนเรื่องเล่าผีกองกอยนั้น เป็นเรื่องเล่านิทานในตำนานที่เล่ากันต่อมาเพื่อให้เด็กกลัว ไม่เคยมีใครเห็น ผีกองกอยเป็นคนอาศัยอยู่ป่า ไม่ใช่เป็นผี คล้ายๆกับผีตองเหลือง ซึ่งในปัจจุบันมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในป่าหรือในถ้ำแทบจะไม่มีแล้ว ส่วนที่มีการเจอรอยเท้าในถ้ำดิน แล้วบอกว่าเป็นรอยเท้าผีกองกอย จนเป็นที่ฮือฮาในจังหวัดเลย คิดว่าเป็นกระแสที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดใดจุดหนึ่ง หรือเพื่อการท่องเที่ยวก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็อยู่กับความเชื่อของแต่ละคน ไม่สามารถที่จะไปห้ามความคิดได้