นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะโฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวของ คสช. ไม่ได้เป็นการปลดล็อกขั้นตอนการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เพราะการอนุญาตให้รัฐหาเอกชนเข้ามาดำเนินการควบคู่ไปได้ก่อนนั้น ในคำสั่งได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถให้สิทธิเอกชน ในการลงนามเพื่อผูกพันในสัญญา หมายความว่าในท้ายที่สุดหากโครงการไม่ผ่านมติคณะรัฐมนตรี ในทางปฏิบัตินอกจากจะไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้แล้ว บริษัทเอกชนก็ไม่มีสิทธิในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะได้รับ
ขณะที่นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือสผ. บอกว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยมีการพูดคุยหารือกันมาก่อนโดยเฉพาะเรื่องขั้นตอนต่าง ๆ การพิจารณาโครงการ ประเภทโครงการว่ามีอะไรบ้างที่คิดว่าจะเข้าข่ายการใช้คำสั่งนี้ และคัดมาได้ 5 ประเภทโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ขณะนี้มีโครงการที่จะที่ได้รับประโยชน์จากคำสั่งนี้ 70 โครงการ โดย 20โครงการด้านคมนาคม โดยเฉพาะระบบรางและการสร้างมอเตอร์เวย์ ทางหลวง 36 โครงการ ท่าอากาศยาน 2 แห่งท่าเทียบเรือ 2 โครงการ เขื่อนอ่างเก็บน้ำ 8 โครงการ โรงพยาบาลรัฐ 5 และสิ่งก่อสร้างในทะเล 4โครงการ โรงไฟฟ้า 4 แห่ง
สำหรับเหตุผลที่ คสช. ออกคำสั่งนี้ เข้าใจว่าต้องการช่วยให้โครงการร่วมทุน เช่น โครงการรถไฟระบบรางคู่ สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น เพราะตามปกติหากต้องรออีไอเอ ผ่านความเห็นชอบ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ปี จะทำให้การพิจารณาด้านงบประมาณ และการร่วมทุนซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปีนั้น ล่าช้าออกไปอีกซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ